วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2560

วรรณกรรมตนเองตอนที่ 4

เรื่อง เพื่อนผี



ล่องเรือ
        จิ๊บ จิ๊บ เสียงเจ้านกกระจิ๊บพากันร้องเซ็งแซ่อยู่บนท้องฟ้าในยามเช้า มันคงกำลังพากันไปที่ไหนสักแห่ง เพื่อหาอาหารประทังชีวิตของมัน
        หายแล้วใช่ไหมหนูบัวมาลีร้องถามด้วยใบหน้าที่สดใส
        “ฉันหายแล้ว วันนี้ฉันจะไปเก็บผักที่ริมคลองฝั่งโน้น
        “เธอคิดจะอยู่เฉย ๆ บ้างไหม ทำไมเธอถึงดื้อแบบนี้นะ
        เสียงฝีเท้าขนาดใหญ่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
        “หนูบัวตื่นแล้วหรอลูก มากินข้าวก่อน ตาทำข้าวต้มไว้ กินข้าวเสร็จ จะได้กินยา
        “ตาจ๋า ผักบุ้งที่ริมคลองฝั่งโน้นทอดยอดยาวมากแล้ว วันนี้หนูคิดว่าจะไปเก็บมันเพื่อนำมาขายจ้ะตา
        “เคยคิดจะอยู่เฉย ๆ บ้างไหม ทำไมถึงดื้อแบบนี้นะ เอาเถอะตาไม่ห้าม แต่ต้องระวังตัวด้วยละ” หนูบัวบ่นพึมพำในใจ ทำไมตาถึงพูดเหมือนกับมาลีเลยนะ หนูบัวก้าวเท้าด้วยความเร็วไปที่สะพานไม้
        มาเร็วมาลี ฉันจะพาไปเก็บผักบุ้งที่อยู่ริมคลองฝั่งโน้น ปานนี้มันคงทอดยอดยาวแล้วแน่ ๆ ฉันจะเก็บให้หมดเลย เราจะได้นำไปขายที่ตลาดกัน เธอรู้ไหมมาลีว่าตาของฉันต้องทำงานหนักแค่ไหนต้องไปรับจ้างทำสวน เพื่อหาเงินมาซื้อข้าวกิน
        “อึก อึก
        “เธอเป็นอะไรไป
        “ฉันสงสารเธอ ฉันอยากช่วยเธอ แต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะฉันไม่ใช่มนุษย์ ฉันเป็นผี…”
        “เธอไม่ต้องเศร้า เธอช่วยฉันมามากแล้วนะ เธอไม่รู้ตัวเองต่างหาก
        หนูบัวใช้มือทั้งสองข้างแกะเชือกที่มัดเรือไว้ ก้าวลงไปนั่งที่เรือด้วยความระมัดระวัง
        “มาสิมาลีหนูบัวเรียกมาลีให้ลงมานั่งในเรือ พร้อมกับชี้ไปที่ที่นั่งที่อยู่ตรงข้ามกัน
        “ว่าจะถามหลายรอบแล้วก็เผลอลืม ไม่ยักรู้ว่าเธอพายเรือเป็นด้วย
        หนูบัวเย้ายิ้ม ขณะใช้มือวักน้ำเล่นอยู่ มุมปากฉีกยิ้มกว้างอวดแนวฟันขาวที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบแววตาทอประกายความสุขออกมาให้เห็น
        “ฉันเคยพายเรือกับตาอยู่บ่อยๆนะ” หนูบัวบอกขณะจ้วงไม้พายจ้ำลงน้ำพาเรือลำน้อยเรียบร่องไปตามลำคลองผ่านเรือนริมน้ำ บรรยากาศช่างเปี่ยมไปด้วยความสุขสงบ เหมาะสำหรับพักผ่อนเสียจริง
        “หนูบัวหน้าคล้ายแม่หรอ
        มาลีเอ่ยปากถาม ก่อนที่ใบหน้าคนฟังจะเศร้าสลดลง ดวงตาของหนูบัวเริ่มแดงระเรื่อ มือไม้อ่อนกับคำถามของคนตรงหน้า ก่อนที่จะเอ่ยปากตอบ
        “ไม่รู้เหมือนกัน ตั้งแต่ฉันจำความได้ ยังไม่เคยเห็นหน้าพ่อแม่เลย มีเพียงตาคนเดียวที่เลี้ยงฉันมาด้วยความเมตตา
        หนูบัวไม่เคยคิดจะปกปิดชาติกำเนิดของตน ในทางตรงกันข้ามกลับบอกความจริงให้ทุกคนได้รู้
        “ฉันขอโทษที่ละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของเธอ
        “ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่คิดจะปกปิดมันไว้อยู่แล้ว มาลีเห็นใบหน้าหนูบัว จึงเอ่ยปากขึ้นมาอย่างไม่คิด
        “ฉันว่าเธอหน้าเหมือนตานะ
        “จริงหรอเนี่ย มีคนทักแบบนี้เหมือนกัน สีหน้าสดใส ยิ้มมุมปากเล็กน้อย
        “เธอรู้ไหม ฉันหน้าเหมือนพ่อนะ แต่สีผิวและริมฝีปากฉันได้แม่มา
        “เลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ เห็นข้างหน้านั่นไหม ใกล้ถึงแล้วนะมาลี
        หนูบัวรีบจ้วงไม้พายเข้าไป และใช้มือเก็บผักบุ้งที่ทอดยอดอยู่ในลำคลอง จึงไม่ทันระวังได้พลัดตกลงไปในคลอง
        บุ๋ม บุ๋ม
        “ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! หนูบัวว่ายน้ำไม่เป็นจึงเพียงแต่ร้องขอความช่วยแหลือให้คนมาช่วย เพื่อนสาวที่ไร้ตัวตน จึงบอกให้เธออยู่นื่ง ๆ และร่างจะลอยขึ้นมาเหนือน้ำ จากนั้นเธอใช้มือทั้งสองวักน้ำไปมา แล้วเธอจะรอดเอง หนูบัวทำตามที่มาลีบอก แล้วกายของหนูบัวก็ลอยทวนน้ำขึ้นมาจริง ๆ
        กายที่สะบัดสะบอมของหนูบัวหลังจากที่รอดจากการจมน้ำมา ใบหน้าที่เคยสดใส ตอนนี้กลับซีดเผือดอย่าบอกไม่ถูก
        “รอให้ตัวฉันแห้งก่อนนะ ถ้ากลับไปในสภาพนี้ตาต้องรู้แน่ ๆ ถ้าตารู้ ต่อไปฉันคงไม่ได้ไปไหนอีก
        ครอก ครอก
        “หน้าเธอซีดมากเลยนะ เธอไหวไหม
        “ไหวสิ ฉันนั่งพักก่อน อีกซักพักฉันจะไปเก็บผักบุ้งให้เสร็จ วันนี้ตอนบ่ายจะได้ขายผักที่ตลาดกัน
        “ทำไมถึงดื้อแบบนี้นะ
        เมื่อหนูบัวหายจากอาการตกใจจึงลุกพรวดพราดขึ้นอย่างไม่คิด รีบก้าวเท้าไปที่เรือที่อยู่ริมคลอง
        “เร็ว ๆ นะ ฝนเหมือนจะตกเลย
        “ฉันเก็บเสร็จแล้ว ป่ะ มาลี เรากลับบ้านกันเถอะ
        ฮัดชิ้ว ฮัดชิ้ว
        “เห็นไหมล่ะ เธอเหมือนจะไม่สบายเลยนะ มาลีกล่าวด้วยน้ำสียงเป็นห่วง
        “ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่เป็นหวัดนะ” หนูบัวจ้วงไม้พายลงน้ำเป็นจังหวะ มุ่งหน้าไปที่บ้านด้วยความรวดเร็วเพราะเกรงว่าจะนำผักไปขายที่ตลาดไม่ทัน
        จะรีบไปไหนลูก เดี๋ยวก็ล้มพอดี เสียงของตาร้องเรียกขึ้น เมื่อเห็นหนูบัวมีอาการแปลกๆ
        “จะรีบมาล้างผักเพื่อเตรียมไปขายที่ตลาดจ้ะ หนูกลัวว่ามันจะค่ำก่อน วันนี้ตาไม่ต้องไปกับหนูบัวก็ได้
        “แล้วจะไปคนเดียวได้ยังไง
        หนูบัวพายเรือไปเก็บผักคนเดียวได้ หนูเก่งไหมจ้ะตา หนูก็ไปขายผักได้ ตาไม่ต้องเป็นห่วงหนูนะ
        “ดูแลตัวเองดีๆนะ รีบไปรีบกลับ กินข้าวก่อนค่อยไป ตาตั้งไว้บนตู้ไม้นะ
        “จ้ะตา
        จ้อก จ้อก ความหิวหนัก ทำให้หนูบัวกินข้าวจนไม่เคี้ยวให้ละเอียดก่อนจึงเกิดอาการสำลักข้าว ใบหน้าที่ซีดเผือดในตอนนั้น ตอนนี้เต็มไปด้วยความสดใส ร่าเริง มีความตื่นเต้นเมื่อจะได้ทำอะไรด้วยตัวเอง นี่แหละเด็กมักจะแสดงความสดใสให้เห็น ตาแอบมองดูหนูบัว แล้วยิ้มด้วยความสุข เมื่อเห็นหลานสาวคนเดียว กล้าทำอะไรด้วยตัวเอง
        “ถ้าหากวันใดไม่มีตาแล้วหลานจะอยู่ยังไงแต่ตาคิดว่าหลานของตาเก่ง หลานคงต้องสู้ ตาบ่นพึมพำอยู่คนเดียว

                                                                                                                                                                                                                                                         วรรณ นภา

วรรณกรรมตนเองตอนที่ 3


เรื่อง เพื่อนผี


ยาผีบอก

         
ตาจ๋า พรุ่งนี้หนูบัวจะเข้าป่าไปหาเห็ดโคลน วันก่อนฝนตกหนัก เห็ดโคลนคงเกิดเยอะนะตา
          “เข้าป่าระวังด้วยนะลูก พรุ่งนี้ตาจะซ่อมหลังคาบ้านคงไปด้วยไม่ได้ นอนได้แล้วต้องตื่นแต่เช้านะ
          “จ้ะตา
          เอ้ก อิ เอ้ก เอ้ก
          เช้าแล้วหรอเนี่ย ” หนูบัวตื่นขึ้นมาด้วยอาการงุนงง มองดูผ้าห่มด้านข้างถูกพับเก็บไว้อย่างเรียบร้อย มองหาตาที่นอนอยู่ข้าง ๆ แต่กลับไม่พบ
          ตื่นแล้วหรอหนูบัว” มาลี เพื่อนสาวที่ไร้ตัวตนร้องทักขึ้น
          บรรยากาศเช้านี้ท้องฟ้าสดใส หมู่นกพากันโบยบินไปยังที่ต่าง ๆ เพื่อค้นหาอาหาร บนใบหญ้ามีหยดน้ำใส ๆ ที่เกาะตัวกันเป็นกลุ่มก้อน สายฝนที่โปรยปรายลงมาช่วยให้หมู่ต้นไม้น้อยใหญ่ต่างพากันดีใจที่ได้เห็นสายฝนหลังจากที่หน้าดินแห้งแล้งมานาน สายฝนช่วยยื้อชีวิตของหมู่สัตว์และต้นไม้น้อยใหญ่ที่กำลังเหี่ยวเฉาอยู่นั้น ตอนนี้กลับมาชุ่มชื่นอีกครั้ง
          หนูบัวเร่งฝีเท้ามาที่ริมคลอง นั่งลงที่สะพานไม้เก่า ๆ ที่มีเรือผูกติดที่เสาด้านซ้ายมือ ในยามเช้าแบบนี้ สายน้ำที่อยู่ในลำคลองยังมีความขุ่นของเศษฝุ่นที่ลอยขึ้นมาจากด้านล่าง เพราะพายุฝนกระหน่ำลงมาอย่างรุนแรง หนูบัวมองดูปลาน้อยใหญ่ที่กำลังแวกว่ายไปมาเพื่อหาอาหาร ปลาตัวใหญ่ที่กำลังว่ายมานั้น มันจ้องปลาตัวเล็กที่กำลังลอยทวนน้ำ มันคงคิดจะกินปลาเล็ก ไม่นานปลาตัวใหญก็ได้แวกว่ายเข้ามากินปลาตัวเล็กที่อยู่ริมฝั่ง
          มันคงเป็นกรรมของเจ้าสินะ เจ้าปลาน้อย ถ้าหากเจ้าตัวใหญ่ เจ้าก็คงกินสัตว์อื่นเป็นอาหารเช่นกัน แต่ตอนนี้เจ้าตัวเล็ก เจ้าคงต้องตกเป็นอาหารของสัตว์ที่ใหญ่กว่า” หนูบัวนั่งบ่นพึมพำอยู่คนเดียว
 ขณะที่กำลังนั่งรับบรรยากาศสายลมในยามเช้าอยู่นั้น กลับต้องสะดุดไปที่แห่งหนึ่ง เมื่อคิดขึ้นได้ว่าเธอต้องเข้าป่าไปหาเห็ดโคลนในวันนี้
          วันนี้ ฉันต้องเข้าป่าไปหาเก็บเห็ดมาขาย เห็ดโคลนคงเกิดแล้ว แต่ เอ๊ะ! ตาหายไปไหน ทำไมยังไม่เห็นเลยล่ะ มาลี
          “ตาไปตัดไม้มาซ่อมหลังคานะ เมื่อเช้าเห็นตาถือพร้าเล่มใหญ่เข้าป่าทางด้านทิศเหนือไป” มาลีเพื่อนสาวที่ไร้ตัวตนบอกเธอ
          เธอจะไปกับฉันไหม
          “ไปสิ ฉันจะไปกับเธอ
          “ฉันจะไปเอาตะกร้ากับเสียมก่อน แล้วเราจะได้เข้าป่ากัน หนูบัวก้าวเท้าด้วยความรวดเร็ว เดินไปที่ห้องครัวเพื่อหาตะกร้าและเสียม ตะกร้าไม้เก่า ๆ ที่ตาได้สานไว้เมื่อครั้งที่หนูบัวยังเด็ก ตอนนี้มันเก่ามากแล้ว แต่มันยังใช้งานได้ดีทีเดียว และคงใช้ได้อีกนาน หนูบัวและมาลีมุ่งหน้าเข้าป่าเพื่อเก็บเห็ดโคลนตามความคิดที่คิดไว้ มือซ้ายถือตะกร้า มือขวาถือเสียม
          แครก แครก เสียงฝีเท้าที่ย้ำลงบนใบไม้แห้ง กำลังมุ่งหน้าเข้าไปในป่าลึก ต้นไม้ใหญ่น้อยพากันเขียวชอุ่ม ผลิดอกออกใบ บรรยากาศในป่าช่างเยือกเย็นนัก ลมแรงเหมือนจะมีพายุ หนูบัวใช้เสียมที่ถืออยู่ในมือ เขี่ยใบไม้แห้งให้กระจายออก เพื่อหาเห็ดโคลน
          เห็ดโคลนมันเกิดแล้วไม่ใช่หรอ ฉันเห็นชาวบ้านได้เห็ดกันเยอะเลย แต่ทำไมฉันได้สองดอกเอง
          “เอาเถอะ เดี๋ยวฉันจะช่วยเธอหาเอง” มาลีพูดด้วยคำปลอบใจ
          ขณะที่กำลังคุ้ยเขี่ยอยู่นั้นก็เจอเห็ดโคลนกลุ่มหนึ่งมีหลายดอกเลยทีเดียว
          เย้ ฉันเจอแล้ว เห็ดโคลนจำนวนมากเลยทีเดียว
          “เดี๋ยวฉันจะช่วยเธอเก็บเอง จะได้เสร็จเร็ว ๆ
          ขณะที่กำลังก้มตัวเก็บเห็ดโคลนอยู่นั้น จนลืมมองดูบริเวณรอบ ๆ ว่ามีสัตว์มีพิษอยู่บริเวณนี้ไหม พื้นป่าที่มีฝนตกชุกทำให้สัตว์มีพิษน้อยใหญ่ชุกชุมเป็นธรรมดา แต่นั่นงูตัวหนึ่งกำลังเลื้อยมาทางนี้ โดยที่หนูบัวไม่ทันได้สังเกต ขณะที่ก้าวเท้าถอยหลัง พอดีงูเลื้อยเข้ามาใกล้ จึงทำให้ถูกงูฉกเข้าที่ขาด้านซ้าย
          โอ้ย อะไรกัดที่ขาฉัน มาลีช่วยฉันด้วย
          “เธออยู่นิ่งๆนะ ฉันเจอแล้วเจ้างูตัวนั้นมันกัดเจ้า มันมีพิษ มันคืองูเขียวหางไหม้ เจ้าคงเผลอไปเหยียบหางมันเข้าเท่านั้น มันคงคิดว่ามีคนจะทำร้ายมัน
          “ฮือ ฮือ ฉันเจ็บเหลือเกิน
          “เธอนั่งอยู่นิ่งๆ เดี๋ยวฉันจะไปเอารากต้นโลดทะนงแดงมาให้เธอฝนกิน” มาลีนำสมุนไพรที่ไปหามาแล้วหนูบัวจึงฝนกิน เพื่อถอนพิษงูเขียงห้างไหม้ ถึงแม้มันจะมีพิษที่สะสมอยู่น้อย แต่มันก็มีอาการบวมได้
          เรากลับกันเถอะมาลี ฉันไม่เป็นไรมากแล้ว
           วันนี้มันช่างเป็นวันที่โชคร้ายนัก หนูบัวโดนงูกัดเข้าที่ขา แต่โชคดีที่งูตัวนั้นไม่มีพิษ จึงทำให้เพื่อนสาวที่ไร้ตัวตนช่วยห้ามเลือดให้เขาได้
          ไปทำอะไรมาลูก ทำไมเดินแบบนั้น ขาไปโดนอะไรมา
          “โดนงูกัดมาจ้ะตา
          “เดี๋ยวตาจะพาไปหาหมอ งูมีพิษหรือเปล่าก็ไม่รู้ ขาบวมขนาดนี้
          ขณะที่กำลังเดินทางไปโรงพยาบาลนั้น มื้อไม้ของตารู้สึกสั่นอย่างบอกไม่ถูก คงกลัวว่าหนูบัวจะเป็นอันตราย
          เป็นอะไรมาครับชายสูงใหญ่หน้าตาดีถามด้วยความอยากรู้
          “โดนงูกัดมาครับคุณหมอ ไม่รู้ว่างูมีพิษไหม
          “ผมขอดูแผลหน่อยนะครับ ไม่ใช่สัตว์มีพิษนะครับ ผมจะให้ไปทำความสะอาดแผลก่อน กลัวว่าแผลจะติดเชื้อ แล้วค่อยมารับยาที่ช่องสามนะครับ ผมจะให้ยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ปวด และยาลดไข้ไปทาน หมั่นทำความสะอาดแผลด้วยนะครับการที่หมอตรวจดูแล้วพบว่าเป็นสัตว์ไม่มีพิษนั้น คงเป็นเพราะมาลีหายาถอนพิษมาให้หนูบัวกินแล้ว
          เห็นไหมจ้ะตา หนูบัวบอกแล้วว่าไม่เป็นอะไร” สายตาของตาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ยังคงห่วงหลานของตัวเอง สีหน้าแววตาที่เศร้า ตอนนี้กลับสดใสขึ้นมาเมื่อรู้ว่าไม่ใช่สัตว์ที่มีพิษ
          หลังจากกลับจากโรงพยาบาล หนูบัวกลับมีอาการตัวร้อนขึ้นมาทันที คงเป็นเพราะอาการอ่อนเพลีย
          ตาจ๋า หนูปวดหัวจังเลย
          “กินข้าวก่อนนะลูกแล้วจะได้กินยา นอนพักเดี๋ยวพรุ่งนี้อาการก็คงดีขึ้น” ตาดูแลหนูบัวไม่ยอมห่างไปไหน ยังคงนั่งเฝ้าอยู่แบบนั้นทั้งคืนพลางหลับพลางตื่น คอยเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดให้ มาลีเพื่อนสาวที่ไร้ตัวตนของเขานั่งมองดูอยู่ข้าง ๆ ด้วยความเป็นห่วง
          ฉันสงสารเธอจัง เธอต้องรีบหายนะ ฉันไม่มีเพื่อนคุยเลย” มาลีมองดูหนูบัวด้วยใบหน้าเศร้า



                                                                                                                                                                                                                                                          วรรณ นภา




วันจันทร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2560

วรรณกรรมตนเอง ตอนที่ 1 เพียงความทรงจำ

เรื่อง เพื่อนผี


เพียงความทรงจำ


         “ทำไมฉันถึงยังจำเธอได้นะ มาลี ในเมื่อเธอคือความทรงจำที่ฉันพยายามลืมให้สนิทมากที่สุดในบรรดาความทรงจำทั้งหลายที่เกี่ยวกับชีวิตฉัน ตาเคยบอกกับฉันเสมอว่า จงลืมวันวาน เพื่อเช้าวันใหม่ที่สดใส แต่ใครจะทำอย่างที่คิดไดบ้างละ แม้แต่ตาเอง หญิงชราพูดด้วยน้ำเสียงที่เศร้าใจ
          หญิงชรา วัย 50 ปี  มีอาชีพรับจ้าง เธอมีลูกสาวอยู่หนึ่งคนชื่อสายน้ำ อายุเพียง 10 ขวบ แต่กลับไม่ได้เรียนหนังสือ และยังต้องช่วยแม่ทำงานหาเงินมาจุนเจือครอบครัว เพราะความยากจนจึงทำให้เด็กคนหนึ่งไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือเหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ หญิงชราผู้นี้มีรูปร่างผอมสูงใบหน้ารูปไข่ คิ้วหนาดกดำ ผมยาวประบ่า รวบมัดไว้อย่างเรียบร้อย ผมของหญิงชรายังมีสีดำสนิท มองไม่เห็นเส้นผมสีขาวเลยแม้เพียงเส้นเดียว เธอมีชื่อว่าแม่บัว อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในชนบท บ้านหลังเล็กที่ทรุดโทรมพร้อมที่หล่นทับลงมาตลอดเวลา หลังคาที่เป็นรูรั่ว จึงทำให้เวลาฝนตก บริเวณพื้นเปียกทั่วทั้งบ้าน จนต้องหากะละมังมารองน้ำฝนไว้ แม่บัวตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่าเมื่อไหร่กัน ฉันจะมีเงินเก็บสักก้อนเหมือนกับคนอื่นเขาบ้าง
          แม่บัวพยุงร่างที่อ่อนล้าลุกขึ้นนั่งบนเตียงไม้เก่า ๆ กำลังครุ่นคิดอะไรอยู่บางอย่าง ท่ามกลางความเงียบในบ้านหลังเล็กริมคลองหลังหนึ่ง เธอนอนซุกอยู่ในผ้าห่มผืนเก่า หวือ หวือ สายลมได้พัดผ่านตัวบ้าน พัดเอาความเย็นยะเยือกเข้ามาภายในบ้าน ใบไม้บนต้นไม้ไหวติงไปมา กิ่งไม้แห้งที่พร้อมจะหล่นลงจากต้นเมื่อสายลมพัดมา สายหมอกได้เกาะตัวบนต้นหญ้าพร้อมกับอากาศที่สดใสในตอนเช้าๆแบบนี้ เธอใช้ชีวิตอยู่กับลูกสาวสองคน โดยปราศจากเสาหลักของครอบครัว สามีของเธอได้เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีมาแล้วด้วยโรคหัวใจล้มเหลว แม่บัวจึงต้องใช้ชีวิตกับลูกสาววัย 10 ขวบเพียงลำพัง แม่บัวเหม่อมองแผ่นฟ้าที่ว่างเปล่า กลับคิดถึงวันเวลาเก่าๆ เมื่อครั้งที่สามีของเธอยังมีชีวิตอยู่  แต่วันนี้เธอกลับต้องโบยบินด้วยปีกของเธอ ฝ่าลมแรงที่มีพายุลูกใหญ่ไปในที่ที่ไม่เคยไป แต่แล้วความคิดนั้นก็กลับหายไปจากห้วงความคิดของเธอ ดวงตาเศร้าคู่นั้น กลับเอ่อล้นด้วยหยดน้ำตาที่ไหลลงตามร่องแก้มทั้งสองข้าง หัวใจที่กำลังสดใสกลับเศร้าหมองอีกครั้ง เจ้าตูบ สุนัขที่เก็บมาเลี้ยง นอนนิ่ง แววตาดูเศร้าเหมือนกับมันได้ยินเสียงความคิดของแม่บัว เธอจ้องตาเจ้าตูบ
          ปะ ไปกัน วันนี้ฉันต้องไปทำงานที่บ้านของเศรษฐี
          โฮ้ง โฮ้ง
          “แม่จะต้องไปทำงานที่บ้านเศรษฐี ลูกรอแม่อยู่ที่บ้านนะ ไม่ต้องไปกับแม่หรอกวันนี้
          “หนูไปกับแม่ด้วยได้ไหมจ้ะแม่ หนูไม่อยากอยู่ที่นี่คนเดียว
          “ก็ได้ แต่อย่าซนล่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวแม่จะไม่ให้ไปด้วยอีกเลยนะ
          “จ้ะแม่ หนูสัญญาว่าจะไม่ดื้อ ไม่ซนจ้ะ
            เธอออกเดินทางตามถนนสายเล็กที่เชื่อมต่อกับหมู่บ้าน ในแต่ละวันต้องเดินทางไปกลับกว่า 6 กิโลได้ เพื่อไปทำงานที่บ้านเศรษฐีที่อยู่ท้ายหมู่บ้านอีกฝั่งหนึ่ง ระยะทางคงไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเธอ เพราะความจนที่ทำให้เธอต้องดิ้นรนเพื่อการมีชีวิตรอด และยังเป็นเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เกิด แม้แต่หน้าพ่อแม่ยังไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง เธอช่างโชคร้ายนัก แต่ความโชคร้ายก็ยังคงมีความโชคดีที่เธอมีตาที่เลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่ยังเด็ก รักเธอเหมือนลูกแท้ ๆ ทำให้เธอไม่รู้สึกว่าเธอขาดอะไรไป เพราะตาเป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับเธอได้
          “เจ้าตูบ มาเร็ว ๆ สิ ฉันรีบ
          “ลูกไม่น่ามากับแม่เลยนะ รอแม่อยู่ที่บ้านก็ได้
          “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะแม่ ฉันอยากมาช่วยแม่ทำงานด้วยคนจ้ะ” ด้วยความเป็นเด็กที่อยากจะช่วยแม่ทำงาน จึงต้องดื้อเพื่อที่จะได้ตามแม่มาด้วย แต่ทุกครั้งที่เธอตามแม่ไป ก็เพื่ออยากไปเล่นกับลูกสาวท่านเศรษฐีเท่านั้น แม่บัวเดินทางมาถึงบ้านเศรษฐีเร็วกว่าที่คิดไว้ บ้านปูนสองชั้นที่ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนผลไม้และสวนดอกไม้ ด้านซ้ายมือ มีเรือนไทยหลังเล็กตั้งอยู่ ส่วนด้านขวามือเป็นบ่อเลี้ยงปลาขนาดไม่ใหญ่นัก
          “อ้าว วันนี้มาแต่เช้าเลยนะ แม่บัว
          “วันนี้ ว่าจะรีบมาทำงานบ้านให้ท่านเสร็จ ก็จะรีบกลับบ้านจ้ะ วันนี้ลูกมาด้วย กลัวไม่ได้อ่านหนังสือ เลยต้องรีบกลับหน่อยนะจ้ะ ท่านเศรษฐี
          “แล้วแต่แม่บัวเถอะ


ณ บ้านเศรษฐี
         หญิงชราเดินไปหยิบผ้าและไม้กวาดขนไก่ มาปัดฝุ่นตามหน้าต่าง ตู้โชว์ โซฟา โต๊ะนั่ง และรูปภาพที่ติดตามผนังบ้าน จากนั้นจึงไปหยิบไม้กวาดที่อยู่มุมบ้าน ใช้มือขวาจับด้ามไม้กวาดแล้วกวาดพื้นไปมา โดยเริ่มกวาดจากทางซ้ายมือของตัวบ้านไปทางขวา เมื่อกวาดเสร็จแล้ว จึงใช้ไม้ถูพื้นมาถูทำความสะอาดบริเวณนั้นอีกครั้ง
          “เอ๊ะ หายไปไหนแล้ว เจ้าตัวแสบ
         เธอมัวแต่ทำงานบ้าน จนลืมนึกไปว่า ลูกสาวของเธอที่มาด้วย ไม่ได้นั่งอยู่ในบ้าน ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะไปซนอยู่ที่ไหนบ้าง
          “ลูกอยู่ไหน ได้ยินแม่ไหม เธอเดินออกมาพร้อมกับส่งเสียงตะโกนร้องเรียกหา
          “อ้าว อยู่นี่เอง สายตาต้องสะดุดที่เรือนไทยหลังเล็ก เมื่อเห็นเด็กๆกำลังนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่ในศาลาเรือนไทยหลังนั้น
          “แม่ เสร็จแล้วหรอจ้ะ หนูอ่านหนังสือการ์ตูนก่อนได้ไหมจ้ะ แม่
          “ได้สิ แม่ยังทำงานบ้านไม่เสร็จเลย เดี๋ยวแม่จะมาเรียกนะลูก
          “จ้ะ แม่
         แม่บัวมองดูเด็ก ๆ ที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่นั้น กลับคิดถึงความหลังเมื่อครั้งที่เธอยังเป็นเด็ก เธอจ้องเด็ก ๆ อยู่นาน แววตาแห่งความสุข ยิ้มมุมปากเล็กน้อย กลับมีความเศร้าแฝงอยู่ในนั้น เธอกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่บางอย่าง เจ้าตูบสั่นหาง ดิ๊ก ดิ๊ก ไปมา เธอมองหน้าเจ้าตูบแล้วถอนหายใจ
          “ฉันคิดถึงเพื่อนของฉันจัง ปานนี้เธอจะอยู่ที่ไหนใบหน้าของเธอดูเศร้าอย่างบอกไม่ถูก เธอคงคิดถึงชีวิตเมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็ก แล้วต้องใช้ชีวิตกับตาสองคนในบ้านหลังเล็กที่อยู่ริมคลอง
          “ถ้าหากวันนี้ ยังคงเหมือนกับวันที่ผ่านมา ฉันคงมีความสุขมากกว่านี้
          "ป่ะ สายน้ำกลับบ้านกัน"
          สายน้ำเดินมาหาแม่ที่ยืนรออยู่ที่่หน้าเรือนไทย ขณะที่เดินทางกลับบ้าน แม่บัวได้เหม่อลอย เดินชนก้อนหินเกือบล้มอยู่หลายครั้ง
          "แม่เป็นอะไรจ้ะ"
          "ป่าวหรอกลูก"
          ขณะที่เดินถึงบ้าน แม่บัวกลับคิดถึงเพื่อนผีคนนั้น มองดูต้นไม้ใหญ่ที่พบกันวันแรก
         "ชีวิตเมื่อครั้งวัยเด็ก มันช่างแตกต่างกันเสียจริงกับตอนนี้" แม่บัวนั่งเศร้าคิดถึงวันเวลาเก่า ๆ เมื่อครั้งที่เธอชอบไปไหนมาไหนกับเพื่อนผีสาว แม่บัวเดินไปนั่งที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่กับสายน้ำ เล่าเรื่องวัยเด็กของเธอที่ชอบไปไหนมาไหนกับเพื่อนผีให้ลูกฟัง

                                                                                                   วรรณ นภา

วรรณกรรมตนเอง ตอนที่ 2 เพื่อนใหม่



เพื่อนใหม่2



          เมื่อตะวันลับขอบฟ้า หมู่นกก็พากันโบยบินกลับรัง แผ่นฟ้าที่เคยสดใสตอนนี้กลับมีแต่ความมืดมิด มองเห็นแม้เพียงเงาลาง ๆ คืนนี้ช่างมืดมนไร้ซึ่งแสงเดือนและแสงดาว พระจันทร์คืนนี้ช่างโดดเดี่ยวนัก ไร้ซึ่งหมู่ดาวที่เคยระยิบระยับเต็มท้องฟ้า
          เปรี้ยง เปรี้ยง เสียงแห่งความน่ากลัว กำลังส่งเสียงมาจากอีกฟากหนึ่งของหมู่บ้าน อีกไม่นานพายุลูกใหญ่นั้นก็คงเคลื่อนตัวเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้ โกรก โกรก บรรยากาศในตอนเต็มไปด้วยกระแสลมแรงที่พัดผ่านเข้ามา เด็กหญิงคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่บนแคร่อยู่ข้างบ้าน เมื่อเธอได้ยินเสียง เปรี้ยง เธอสะดุ้งตื่นจากความคิด ที่กำลังเหม่อลอยคิดอะไรบางอย่างอยู่นั้น
          "หนูบัวเข้ามาข้างในสิลูก ฝนจะตกแล้วนะ" ตาสอนส่งเสียงเรียกหนูบัวให้เข้ามาข้างในบ้าน โครม มีอะไรบางอย่างปลิวออกไป ทำให้ตาสอนและหนูบัวตกใจ แต่สิ่งที่ต้องตกใจและคาดไม่ถึงก็คือหลังคาบ้านที่ครัว ได้ปลิวออกไป ข้าวของที่วางอยู่ปลิวกระจัดกระจายเกลื่อนเต็มพื้น
          "เสียงอะไรหรอจ้ะ ตา"
          "ลมแรง ข้างของเลยปลิวไปกับสายลมนะลูก เดี๋ยวตาจะออกไปเก็บของที่ปลิวไปก่อนที่ฝนจะลงเม็ด"
          "หนูไปด้วยจ้ะตา"
          ขณะที่กำลังเก็บ  ข้าวของที่ปลิวอยู่นั้น กลับมีเสียงบางอย่างมากระซิบที่ข้างหู
          "สวัสดีจ้ะ"
          กายของหนูบัวลุกซู่ซ่า บรรยากาศในตอนนี้เย็นยะเยือกอย่างบอกไม่ถูก หนูบัวบ่นพึมพำกับตัวเอง
          "คงไม่มีอะไรหรอก อากาศคงจะหนาวเพราะสายลที่พัดแรงในวันนี้"
          หนูบัวกะพริบตาถี่ ๆ มองซ้ายมองขวา ว่ามีใครยืนอยู่ตรงนั่นหรือเปล่า
ป็อก ป็อก หยดน้ำที่หล่นลงมาจากฟากฟ้าได้ตกลงมาอย่างแรง หลังคาบ้านที่ปลิวออกไป ทำให้ครัวด้านหลัง มีน้ำเอ่อนองอยู่ในบริเวณนั้น
          "หนูบัว ฝนลงเม็ดแล้ว เข้ามาข้างในบ้านได้แล้วลูก" ตาเรียกหนูบัวด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นหนูบัวกำลังนั่งอยู่ใกล้ต้นไม้ใหญ่ มองดูอะไรบางอย่างอยู่นั้น
          "จ้ะ ตา"
          สิ่งที่หนูบัวคิดอยู่ในหัวตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องที่หนูบัวกลัวที่สุดในชีวิต คือผีที่มองไม่เห็นแม้แต่เงา แต่แล้วกลับมีเสียงมากระซิบที่ข้างหูเธออีกครั้ง
          "ฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอนะ"หนูบัวรีบก้าวฝีเท้าอย่างรวดเร็วเข้าไปหาตาที่อยู่ในบ้าน
          "ตา ฮือ ฮือ"
          "เป็นอะไรไปลูก"
          "ผีหลอกหนูจ้ะตา"
          "มันไม่มีอยู่จริงหรอกลูก มันเป็นเพียงความคิดของเราเท่านั้น ตาเกิดมาอายุมากเท่านี้ ยังไม่เคยเห็นเลย" เสียงสะอื้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาข้างแก้มทั้งสองข้างอย่างไม่มีท่าทีจะหยุด
          "คืนนี้ ฝนคงตกทั้งคืนสินะ" ตาพูดด้วยความเศร้าใจ
          "ไปนอนได้แล้วลูก"
          หนูบัวเดินพลางหันหน้าหันหลัง กลัวผีที่พึ่งเจอมา กายที่เยือกเย็นเหมือนกำลังแช่อยู่ในช่องแข็ง หวือ หวือ สายลมได้พัดผ่านเข้ามาทางช่องแคบของบ้าน ยิ่งทำให้ความกลัวเพิ่มมากขึ้น ในหัวก็คิดอยากมองออกไปที่หน้าต่าง ว่าผีตนนั้นยังอยู่ที่นั่นไหม แต่อีกความคิดหนึ่งก็กลัวจนไม่อยากจะเห็นผีตนนั้นอีกเลย ค่ำคืนนี้ช่างหนาวนัก ทั้ง ๆ ที่หน้านี้ก็ยังเป็นหน้าฝน แล้วถ้าถึงหน้าหนาวละ หิมะคงจะตกลงมาแน่ๆ
          ขณะที่หนูบัวกำลังนอนอยู่นั้น ได้มีเสียงดัง ตุบ ขึ้นที่ข้างหู เธอได้สะดุ้ง ฮวบ ตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับและต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือผีสาว ที่มีรูปร่างไม่สูงนัก เธอขยี้ตาอีกครั้ง เพราะคิดว่าตัวเองมองไม่ชัด เพราะสายพร่ามัวอยู่ก็ได้ แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้ามันกลับเป็นความจริงที่ไม่ใช่สิ่งที่อยากพบเลยในชีวิตนี้ ทุก ๆ คืน หนูบัวจะต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเห็นผีสาวตนนี้ แต่เมื่อนานวันเข้า ผีตนนี้กลับไม่เคยทำอันตรายหนูบัวเลยสักครั้ง หรือเธอเพียงแค่อยากจะมาเป็นเพื่อนกับหนูบัวจริง ๆ อย่าที่ผีตนนั้นได้บอกหนูบัวเมื่อครั้งแรก
          "เจ้าจะมาหาฉันทำไม ฉันกลัว ฮือ ฮือ"
          "ฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอนะ"
          "แต่ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับเธอนิ"
          "ฉันจะอยู่ที่นี่ ไม่ไปไหนจนกว่าเธอจะให้ฉันเป็นเพื่อนกับเธอ" ผีสาวตนนั้นไม่ยอมไปไหนอย่างที่พูด รอคอยให้หนูบัวยอมรับเธอมาเป็นเพื่อน เมื่อผีตนนี้อาศัยอยู่กับหนูบัวทุกคน จนทำให้ความกลัวที่เคยมี ตอนนี้มันกลับกลายเป็นความเคยชินซะมากกว่า หนูบัวไม่มีความกลัวผีตนนั้นอีกต่อไป
          "ฉันจะเป็นเพื่อนกับเธอก็ได้ แต่เธอจำไว้นะวันใดที่เธอหายไป ฉันจะไม่มีวันให้อภัยเธอเลย"
          "เย้ ในที่สุดฉันก็ได้เป็นกับเธอ ฉันขื่อมาลีนะ"
          "ฉันชื่อ หนูบัวนะ การที่ฉันยอมเป็นเพื่อนกับเธอ เพราะเธอทำให้ฉันเห็นต่างหาก ว่าเธอต้องการเป็นเพื่อนกับฉันจริง ๆ เธอได้รับโอกาสจากฉันแล้ว อย่าทำให้ฉันต้องผิดหวังกับเธอละ"
          การเป็นเพื่อนกับสิ่งที่มองไม่เห็น มันอาจทำให้ใครหลาย ๆ คนมองหนูบัวว่าไม่ปกติ แต่สิ่งที่หนูบัวและมาลีรับรู้มันมากกว่าคำว่า เพื่อน
                                                                                               
                                                                                                           วรรณ นภา