เรื่อง เพื่อนผี
ล่องเรือ
จิ๊บ จิ๊บ
เสียงเจ้านกกระจิ๊บพากันร้องเซ็งแซ่อยู่บนท้องฟ้าในยามเช้า
มันคงกำลังพากันไปที่ไหนสักแห่ง เพื่อหาอาหารประทังชีวิตของมัน
“หายแล้วใช่ไหมหนูบัว” มาลีร้องถามด้วยใบหน้าที่สดใส
“ฉันหายแล้ว
วันนี้ฉันจะไปเก็บผักที่ริมคลองฝั่งโน้น”
“เธอคิดจะอยู่เฉย ๆ บ้างไหม
ทำไมเธอถึงดื้อแบบนี้นะ”
เสียงฝีเท้าขนาดใหญ่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
“หนูบัวตื่นแล้วหรอลูก
มากินข้าวก่อน ตาทำข้าวต้มไว้ กินข้าวเสร็จ จะได้กินยา”
“ตาจ๋า
ผักบุ้งที่ริมคลองฝั่งโน้นทอดยอดยาวมากแล้ว
วันนี้หนูคิดว่าจะไปเก็บมันเพื่อนำมาขายจ้ะตา”
“เคยคิดจะอยู่เฉย ๆ บ้างไหม
ทำไมถึงดื้อแบบนี้นะ เอาเถอะตาไม่ห้าม แต่ต้องระวังตัวด้วยละ” หนูบัวบ่นพึมพำในใจ
ทำไมตาถึงพูดเหมือนกับมาลีเลยนะ หนูบัวก้าวเท้าด้วยความเร็วไปที่สะพานไม้
“มาเร็วมาลี
ฉันจะพาไปเก็บผักบุ้งที่อยู่ริมคลองฝั่งโน้น ปานนี้มันคงทอดยอดยาวแล้วแน่ ๆ
ฉันจะเก็บให้หมดเลย เราจะได้นำไปขายที่ตลาดกัน
เธอรู้ไหมมาลีว่าตาของฉันต้องทำงานหนักแค่ไหนต้องไปรับจ้างทำสวน
เพื่อหาเงินมาซื้อข้าวกิน”
“อึก อึก”
“เธอเป็นอะไรไป”
“ฉันสงสารเธอ
ฉันอยากช่วยเธอ แต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะฉันไม่ใช่มนุษย์ ฉันเป็นผี…”
“เธอไม่ต้องเศร้า
เธอช่วยฉันมามากแล้วนะ เธอไม่รู้ตัวเองต่างหาก”
หนูบัวใช้มือทั้งสองข้างแกะเชือกที่มัดเรือไว้
ก้าวลงไปนั่งที่เรือด้วยความระมัดระวัง
“มาสิมาลี” หนูบัวเรียกมาลีให้ลงมานั่งในเรือ
พร้อมกับชี้ไปที่ที่นั่งที่อยู่ตรงข้ามกัน
“ว่าจะถามหลายรอบแล้วก็เผลอลืม
ไม่ยักรู้ว่าเธอพายเรือเป็นด้วย”
หนูบัวเย้ายิ้ม
ขณะใช้มือวักน้ำเล่นอยู่ มุมปากฉีกยิ้มกว้างอวดแนวฟันขาวที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบแววตาทอประกายความสุขออกมาให้เห็น
“ฉันเคยพายเรือกับตาอยู่บ่อยๆนะ” หนูบัวบอกขณะจ้วงไม้พายจ้ำลงน้ำพาเรือลำน้อยเรียบร่องไปตามลำคลองผ่านเรือนริมน้ำ
บรรยากาศช่างเปี่ยมไปด้วยความสุขสงบ เหมาะสำหรับพักผ่อนเสียจริง
“หนูบัวหน้าคล้ายแม่หรอ”
มาลีเอ่ยปากถาม
ก่อนที่ใบหน้าคนฟังจะเศร้าสลดลง ดวงตาของหนูบัวเริ่มแดงระเรื่อ
มือไม้อ่อนกับคำถามของคนตรงหน้า ก่อนที่จะเอ่ยปากตอบ
“ไม่รู้เหมือนกัน
ตั้งแต่ฉันจำความได้ ยังไม่เคยเห็นหน้าพ่อแม่เลย มีเพียงตาคนเดียวที่เลี้ยงฉันมาด้วยความเมตตา”
หนูบัวไม่เคยคิดจะปกปิดชาติกำเนิดของตน
ในทางตรงกันข้ามกลับบอกความจริงให้ทุกคนได้รู้
“ฉันขอโทษที่ละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของเธอ”
“ไม่เป็นไรหรอก
ฉันไม่คิดจะปกปิดมันไว้อยู่แล้ว” มาลีเห็นใบหน้าหนูบัว จึงเอ่ยปากขึ้นมาอย่างไม่คิด
“ฉันว่าเธอหน้าเหมือนตานะ”
“จริงหรอเนี่ย
มีคนทักแบบนี้เหมือนกัน” สีหน้าสดใส ยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“เธอรู้ไหม ฉันหน้าเหมือนพ่อนะ
แต่สีผิวและริมฝีปากฉันได้แม่มา”
“เลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ
เห็นข้างหน้านั่นไหม ใกล้ถึงแล้วนะมาลี”
หนูบัวรีบจ้วงไม้พายเข้าไป
และใช้มือเก็บผักบุ้งที่ทอดยอดอยู่ในลำคลอง จึงไม่ทันระวังได้พลัดตกลงไปในคลอง
บุ๋ม บุ๋ม
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!” หนูบัวว่ายน้ำไม่เป็นจึงเพียงแต่ร้องขอความช่วยแหลือให้คนมาช่วย
เพื่อนสาวที่ไร้ตัวตน จึงบอกให้เธออยู่นื่ง ๆ และร่างจะลอยขึ้นมาเหนือน้ำ
จากนั้นเธอใช้มือทั้งสองวักน้ำไปมา แล้วเธอจะรอดเอง หนูบัวทำตามที่มาลีบอก
แล้วกายของหนูบัวก็ลอยทวนน้ำขึ้นมาจริง ๆ
กายที่สะบัดสะบอมของหนูบัวหลังจากที่รอดจากการจมน้ำมา
ใบหน้าที่เคยสดใส ตอนนี้กลับซีดเผือดอย่าบอกไม่ถูก
“รอให้ตัวฉันแห้งก่อนนะ
ถ้ากลับไปในสภาพนี้ตาต้องรู้แน่ ๆ ถ้าตารู้ ต่อไปฉันคงไม่ได้ไปไหนอีก”
ครอก ครอก
“หน้าเธอซีดมากเลยนะ เธอไหวไหม”
“ไหวสิ ฉันนั่งพักก่อน
อีกซักพักฉันจะไปเก็บผักบุ้งให้เสร็จ วันนี้ตอนบ่ายจะได้ขายผักที่ตลาดกัน”
“ทำไมถึงดื้อแบบนี้นะ”
เมื่อหนูบัวหายจากอาการตกใจจึงลุกพรวดพราดขึ้นอย่างไม่คิด
รีบก้าวเท้าไปที่เรือที่อยู่ริมคลอง
“เร็ว ๆ นะ ฝนเหมือนจะตกเลย”
“ฉันเก็บเสร็จแล้ว ป่ะ
มาลี เรากลับบ้านกันเถอะ”
ฮัดชิ้ว ฮัดชิ้ว
“เห็นไหมล่ะ
เธอเหมือนจะไม่สบายเลยนะ” มาลีกล่าวด้วยน้ำสียงเป็นห่วง
“ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอก
แค่เป็นหวัดนะ” หนูบัวจ้วงไม้พายลงน้ำเป็นจังหวะ
มุ่งหน้าไปที่บ้านด้วยความรวดเร็วเพราะเกรงว่าจะนำผักไปขายที่ตลาดไม่ทัน
“จะรีบไปไหนลูก
เดี๋ยวก็ล้มพอดี” เสียงของตาร้องเรียกขึ้น
เมื่อเห็นหนูบัวมีอาการแปลกๆ
“จะรีบมาล้างผักเพื่อเตรียมไปขายที่ตลาดจ้ะ
หนูกลัวว่ามันจะค่ำก่อน วันนี้ตาไม่ต้องไปกับหนูบัวก็ได้”
“แล้วจะไปคนเดียวได้ยังไง”
“หนูบัวพายเรือไปเก็บผักคนเดียวได้
หนูเก่งไหมจ้ะตา หนูก็ไปขายผักได้ ตาไม่ต้องเป็นห่วงหนูนะ”
“ดูแลตัวเองดีๆนะ
รีบไปรีบกลับ กินข้าวก่อนค่อยไป ตาตั้งไว้บนตู้ไม้นะ”
“จ้ะตา”
จ้อก จ้อก ความหิวหนัก
ทำให้หนูบัวกินข้าวจนไม่เคี้ยวให้ละเอียดก่อนจึงเกิดอาการสำลักข้าว
ใบหน้าที่ซีดเผือดในตอนนั้น ตอนนี้เต็มไปด้วยความสดใส ร่าเริง
มีความตื่นเต้นเมื่อจะได้ทำอะไรด้วยตัวเอง นี่แหละเด็กมักจะแสดงความสดใสให้เห็น
ตาแอบมองดูหนูบัว แล้วยิ้มด้วยความสุข เมื่อเห็นหลานสาวคนเดียว กล้าทำอะไรด้วยตัวเอง
“ถ้าหากวันใดไม่มีตา… แล้วหลานจะอยู่ยังไง… แต่ตาคิดว่าหลานของตาเก่ง
หลานคงต้องสู้” ตาบ่นพึมพำอยู่คนเดียว
วรรณ นภา