วันจันทร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2560

วรรณกรรมตนเอง ตอนที่ 1 เพียงความทรงจำ

เรื่อง เพื่อนผี


เพียงความทรงจำ


         “ทำไมฉันถึงยังจำเธอได้นะ มาลี ในเมื่อเธอคือความทรงจำที่ฉันพยายามลืมให้สนิทมากที่สุดในบรรดาความทรงจำทั้งหลายที่เกี่ยวกับชีวิตฉัน ตาเคยบอกกับฉันเสมอว่า จงลืมวันวาน เพื่อเช้าวันใหม่ที่สดใส แต่ใครจะทำอย่างที่คิดไดบ้างละ แม้แต่ตาเอง หญิงชราพูดด้วยน้ำเสียงที่เศร้าใจ
          หญิงชรา วัย 50 ปี  มีอาชีพรับจ้าง เธอมีลูกสาวอยู่หนึ่งคนชื่อสายน้ำ อายุเพียง 10 ขวบ แต่กลับไม่ได้เรียนหนังสือ และยังต้องช่วยแม่ทำงานหาเงินมาจุนเจือครอบครัว เพราะความยากจนจึงทำให้เด็กคนหนึ่งไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือเหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ หญิงชราผู้นี้มีรูปร่างผอมสูงใบหน้ารูปไข่ คิ้วหนาดกดำ ผมยาวประบ่า รวบมัดไว้อย่างเรียบร้อย ผมของหญิงชรายังมีสีดำสนิท มองไม่เห็นเส้นผมสีขาวเลยแม้เพียงเส้นเดียว เธอมีชื่อว่าแม่บัว อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในชนบท บ้านหลังเล็กที่ทรุดโทรมพร้อมที่หล่นทับลงมาตลอดเวลา หลังคาที่เป็นรูรั่ว จึงทำให้เวลาฝนตก บริเวณพื้นเปียกทั่วทั้งบ้าน จนต้องหากะละมังมารองน้ำฝนไว้ แม่บัวตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่าเมื่อไหร่กัน ฉันจะมีเงินเก็บสักก้อนเหมือนกับคนอื่นเขาบ้าง
          แม่บัวพยุงร่างที่อ่อนล้าลุกขึ้นนั่งบนเตียงไม้เก่า ๆ กำลังครุ่นคิดอะไรอยู่บางอย่าง ท่ามกลางความเงียบในบ้านหลังเล็กริมคลองหลังหนึ่ง เธอนอนซุกอยู่ในผ้าห่มผืนเก่า หวือ หวือ สายลมได้พัดผ่านตัวบ้าน พัดเอาความเย็นยะเยือกเข้ามาภายในบ้าน ใบไม้บนต้นไม้ไหวติงไปมา กิ่งไม้แห้งที่พร้อมจะหล่นลงจากต้นเมื่อสายลมพัดมา สายหมอกได้เกาะตัวบนต้นหญ้าพร้อมกับอากาศที่สดใสในตอนเช้าๆแบบนี้ เธอใช้ชีวิตอยู่กับลูกสาวสองคน โดยปราศจากเสาหลักของครอบครัว สามีของเธอได้เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีมาแล้วด้วยโรคหัวใจล้มเหลว แม่บัวจึงต้องใช้ชีวิตกับลูกสาววัย 10 ขวบเพียงลำพัง แม่บัวเหม่อมองแผ่นฟ้าที่ว่างเปล่า กลับคิดถึงวันเวลาเก่าๆ เมื่อครั้งที่สามีของเธอยังมีชีวิตอยู่  แต่วันนี้เธอกลับต้องโบยบินด้วยปีกของเธอ ฝ่าลมแรงที่มีพายุลูกใหญ่ไปในที่ที่ไม่เคยไป แต่แล้วความคิดนั้นก็กลับหายไปจากห้วงความคิดของเธอ ดวงตาเศร้าคู่นั้น กลับเอ่อล้นด้วยหยดน้ำตาที่ไหลลงตามร่องแก้มทั้งสองข้าง หัวใจที่กำลังสดใสกลับเศร้าหมองอีกครั้ง เจ้าตูบ สุนัขที่เก็บมาเลี้ยง นอนนิ่ง แววตาดูเศร้าเหมือนกับมันได้ยินเสียงความคิดของแม่บัว เธอจ้องตาเจ้าตูบ
          ปะ ไปกัน วันนี้ฉันต้องไปทำงานที่บ้านของเศรษฐี
          โฮ้ง โฮ้ง
          “แม่จะต้องไปทำงานที่บ้านเศรษฐี ลูกรอแม่อยู่ที่บ้านนะ ไม่ต้องไปกับแม่หรอกวันนี้
          “หนูไปกับแม่ด้วยได้ไหมจ้ะแม่ หนูไม่อยากอยู่ที่นี่คนเดียว
          “ก็ได้ แต่อย่าซนล่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวแม่จะไม่ให้ไปด้วยอีกเลยนะ
          “จ้ะแม่ หนูสัญญาว่าจะไม่ดื้อ ไม่ซนจ้ะ
            เธอออกเดินทางตามถนนสายเล็กที่เชื่อมต่อกับหมู่บ้าน ในแต่ละวันต้องเดินทางไปกลับกว่า 6 กิโลได้ เพื่อไปทำงานที่บ้านเศรษฐีที่อยู่ท้ายหมู่บ้านอีกฝั่งหนึ่ง ระยะทางคงไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเธอ เพราะความจนที่ทำให้เธอต้องดิ้นรนเพื่อการมีชีวิตรอด และยังเป็นเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เกิด แม้แต่หน้าพ่อแม่ยังไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง เธอช่างโชคร้ายนัก แต่ความโชคร้ายก็ยังคงมีความโชคดีที่เธอมีตาที่เลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่ยังเด็ก รักเธอเหมือนลูกแท้ ๆ ทำให้เธอไม่รู้สึกว่าเธอขาดอะไรไป เพราะตาเป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับเธอได้
          “เจ้าตูบ มาเร็ว ๆ สิ ฉันรีบ
          “ลูกไม่น่ามากับแม่เลยนะ รอแม่อยู่ที่บ้านก็ได้
          “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะแม่ ฉันอยากมาช่วยแม่ทำงานด้วยคนจ้ะ” ด้วยความเป็นเด็กที่อยากจะช่วยแม่ทำงาน จึงต้องดื้อเพื่อที่จะได้ตามแม่มาด้วย แต่ทุกครั้งที่เธอตามแม่ไป ก็เพื่ออยากไปเล่นกับลูกสาวท่านเศรษฐีเท่านั้น แม่บัวเดินทางมาถึงบ้านเศรษฐีเร็วกว่าที่คิดไว้ บ้านปูนสองชั้นที่ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนผลไม้และสวนดอกไม้ ด้านซ้ายมือ มีเรือนไทยหลังเล็กตั้งอยู่ ส่วนด้านขวามือเป็นบ่อเลี้ยงปลาขนาดไม่ใหญ่นัก
          “อ้าว วันนี้มาแต่เช้าเลยนะ แม่บัว
          “วันนี้ ว่าจะรีบมาทำงานบ้านให้ท่านเสร็จ ก็จะรีบกลับบ้านจ้ะ วันนี้ลูกมาด้วย กลัวไม่ได้อ่านหนังสือ เลยต้องรีบกลับหน่อยนะจ้ะ ท่านเศรษฐี
          “แล้วแต่แม่บัวเถอะ


ณ บ้านเศรษฐี
         หญิงชราเดินไปหยิบผ้าและไม้กวาดขนไก่ มาปัดฝุ่นตามหน้าต่าง ตู้โชว์ โซฟา โต๊ะนั่ง และรูปภาพที่ติดตามผนังบ้าน จากนั้นจึงไปหยิบไม้กวาดที่อยู่มุมบ้าน ใช้มือขวาจับด้ามไม้กวาดแล้วกวาดพื้นไปมา โดยเริ่มกวาดจากทางซ้ายมือของตัวบ้านไปทางขวา เมื่อกวาดเสร็จแล้ว จึงใช้ไม้ถูพื้นมาถูทำความสะอาดบริเวณนั้นอีกครั้ง
          “เอ๊ะ หายไปไหนแล้ว เจ้าตัวแสบ
         เธอมัวแต่ทำงานบ้าน จนลืมนึกไปว่า ลูกสาวของเธอที่มาด้วย ไม่ได้นั่งอยู่ในบ้าน ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะไปซนอยู่ที่ไหนบ้าง
          “ลูกอยู่ไหน ได้ยินแม่ไหม เธอเดินออกมาพร้อมกับส่งเสียงตะโกนร้องเรียกหา
          “อ้าว อยู่นี่เอง สายตาต้องสะดุดที่เรือนไทยหลังเล็ก เมื่อเห็นเด็กๆกำลังนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่ในศาลาเรือนไทยหลังนั้น
          “แม่ เสร็จแล้วหรอจ้ะ หนูอ่านหนังสือการ์ตูนก่อนได้ไหมจ้ะ แม่
          “ได้สิ แม่ยังทำงานบ้านไม่เสร็จเลย เดี๋ยวแม่จะมาเรียกนะลูก
          “จ้ะ แม่
         แม่บัวมองดูเด็ก ๆ ที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่นั้น กลับคิดถึงความหลังเมื่อครั้งที่เธอยังเป็นเด็ก เธอจ้องเด็ก ๆ อยู่นาน แววตาแห่งความสุข ยิ้มมุมปากเล็กน้อย กลับมีความเศร้าแฝงอยู่ในนั้น เธอกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่บางอย่าง เจ้าตูบสั่นหาง ดิ๊ก ดิ๊ก ไปมา เธอมองหน้าเจ้าตูบแล้วถอนหายใจ
          “ฉันคิดถึงเพื่อนของฉันจัง ปานนี้เธอจะอยู่ที่ไหนใบหน้าของเธอดูเศร้าอย่างบอกไม่ถูก เธอคงคิดถึงชีวิตเมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็ก แล้วต้องใช้ชีวิตกับตาสองคนในบ้านหลังเล็กที่อยู่ริมคลอง
          “ถ้าหากวันนี้ ยังคงเหมือนกับวันที่ผ่านมา ฉันคงมีความสุขมากกว่านี้
          "ป่ะ สายน้ำกลับบ้านกัน"
          สายน้ำเดินมาหาแม่ที่ยืนรออยู่ที่่หน้าเรือนไทย ขณะที่เดินทางกลับบ้าน แม่บัวได้เหม่อลอย เดินชนก้อนหินเกือบล้มอยู่หลายครั้ง
          "แม่เป็นอะไรจ้ะ"
          "ป่าวหรอกลูก"
          ขณะที่เดินถึงบ้าน แม่บัวกลับคิดถึงเพื่อนผีคนนั้น มองดูต้นไม้ใหญ่ที่พบกันวันแรก
         "ชีวิตเมื่อครั้งวัยเด็ก มันช่างแตกต่างกันเสียจริงกับตอนนี้" แม่บัวนั่งเศร้าคิดถึงวันเวลาเก่า ๆ เมื่อครั้งที่เธอชอบไปไหนมาไหนกับเพื่อนผีสาว แม่บัวเดินไปนั่งที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่กับสายน้ำ เล่าเรื่องวัยเด็กของเธอที่ชอบไปไหนมาไหนกับเพื่อนผีให้ลูกฟัง

                                                                                                   วรรณ นภา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น