วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2560

วรรณกรรมตนเองตอนที่ 12

เรื่อง เพื่อนผีี




พบรัก
         
          เช้าวันใหม่ที่สดใส หนูบัวพลิกกายไปมา บิดกายไปมาด้วยความเกียจคร้าน
          เช้าแล้วหรอเนี่ย ทำไมวันนี้ฉันถึงรู้สึกแปลก ๆ เหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้นเลย
          ขณะที่กายยังคงนอนอยู่บนที่นอน ห่มผ้าห่มผืนเก่าอยู่นั้น ได้มีเสียงดังกังวาน ดังมาจากทางทิศใต้
          บึ้ม บึ้ม
          หนูบัวสะดุ้งตื่นขึ้นมา เมื่อเสียงนั้นดังเข้ามาใกล้มากขึ้น
          เสียงอะไรนะ รึว่าใครจะมีใครมายิงนกอยู่แถวนี้
          เมื่อเสียงนั้นเงียบไป ดวงตาทั้งสองข้างของหนูบัวก็หลับลงอีกครั้ง
          เปรี้ยง!
          “เฮือก เสียงอะไรอีก
          หวือ หวือ เสียงสายลมที่พัดเข้ามาด้วยความเร็ว ได้พัดเอาสิ่งของที่วางอยู่ ปลิวกระจัดกระจายไปตามสายลม พายุลูกใหญ่กำลังมาอีกครั้ง หลังจากที่ฝนไม่ตกมานานหลายเดือน หนูบัวลุกพรวดพราดขึ้นจากที่นอนด้วยความตกใจ ก้าวเท้าออกจากบ้าน ยืนมองดูสายลมที่พัดพาพายุฝนเข้ามา
          ป็อก แป็ก ฝนเม็ดใหญ่ที่หล่นลงมาจากฟากฟ้า เหมือนว่าหลังคาจะทะลุลงมา
          ทำไมฝนตกแรงจัง เหมือนจะมีลูกเห็บตกลงมาเลย
          สิ่งที่หนูบัวสังหรณ์ใจว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียว หนูบัวได้แต่ยืนมองดูสายฝนที่กำลังถาโถมเข้ามาอย่างหนัก โดยทำอะไรไม่ได้ พายุครั้งนี้มีความน่ากลัวมากกว่าทุกครั้ง ทั้งสายฝน และสายฟ้า ที่มีความน่ากลัว เปรี้ยง!
          ฟ้าผ่าอีกแล้วหรอเนี่ย ทำไมพายุครั้งนี้ถึงน่ากลัวนัก ฉันคงต้องรอให้ฝนหยุดตกอีกกี่ชั่วยาม
          ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ฝนก็เริ่มซาลง มองเห็นพื้นดินและพื้นหญ้ามากขึ้น
          ยาย ยายจะไปไหนหรอจ้ะ ดูรีบร้อนจัง  
          จะไปดักปลาที่ลำคลองนะสิ ฝนตกนานขนาดนี้ ป่านนี้ปลาคงเยอะ
          “ปลาเยอะใช่ไหมจ้ะยาย
          “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ปกติบ้านเราปลาเยอะ ข้าไปก่อนละ
          หนูบัวอยากไปหาปลาที่ลำคลองเหมือนกับยาย แต่ก็ไม่มีอุปกรณ์ในการดักจับปลาเลย
          นี่ ข้าวของปลิวไปไหนหมด
          หนูบัวเดินเก็บข้าวของที่ปลิวอยู่กระจัดกระจายอยู่ใกล้  ๆ กระท่อม แต่เมื่อเก็บของอยู่นั้น ก็เหลือบสายตาไปเห็นตะกร้าใบหนึ่ง ได้ปลิวไปอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่
          เอ๊ะ นั่นตะกร้าของฉันนิ”                               
          หนูบัวก้าวเท้าไปเก็บตะกร้าที่ปลิวไปอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่แห่งนั้น แต่เมื่อเดินไปถึงกลับต้องตกใจ เมื่อตะกร้าใบนั้นไม่ใช่ของเธอ เธอเห็นชายคนหนึ่งกำลังกินข้าวกับกล้วยสุกด้วยความอร่อย
          อุ้ย ฉันขอโทษ ฉันนึกว่าตะกร้าของฉัน
          “เธอเป็นเจ้าของที่แห่งนี้หรอ
          “ไม่ใช่หรอก บ้านฉันอยู่ตรงโน้นนะ
          “เธอชื่ออะไรหรอ
          “ฉันชื่อ บัว นะ และพี่ละเป็นใครมาจากไหน ทำไมไม่เคยเห็นหน้าเลย
          “พี่ชื่อ สมคิด น่ะ มาจากหมู่บ้านทางฝั่งโน้น ที่นั่นแห้งแล้งนัก พี่เลยต้องออกเดินทางมาหาที่อยู่แห่งไหม ถ้าอยู่ที่นั่น คงต้องอดตาย
          นายสมคิด เดินทางมาตามหาที่อยู่ใหม่ที่อุดมสมบูรณ์กว่าที่เก่า นายสมมีอายุ 30 ปี ซึ่งแก่กว่าหนูบัว เขารูปร่างผอม สูงไม่มากนัก
         ฉันไปก่อนนะพี่
          “เดี๋ยวก่อน ที่ตรงนี้ฉันพอจะสร้างที่อยู่ได้ไหม
          “ไม่ได้หรอก ที่แห่งคงมีเจ้าของ
          “เธอมีสามีรึยัง
          “ยังพี่ถามทำไม
          “พี่รู้สึกถูกชะตากับบัวยังไงไม่รู้
          หนูบัวเดินกลับมาที่กระท่อมด้วยความสงสัย เธอพึ่งรู้จักกับชายผู้นั้นไม่นาน แต่ต้องถูกถามด้วยคำถามที่แปลกใจ ใบหน้าของหนูบัวแดงระเรื่อ เหมือนคนมีความรัก ตั้งแต่หนูบัวอยู่ที่นี่มา เธอไม่เคยได้พบชายใดเลยในหมู่บ้านแห่งนี้ ต้องใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด หลังจากที่ตาเสียไป
          ผักบุ้งแถวลำคลองใกล้ๆคงทอดยอดแล้ว
          หนูบัวมุ่งหน้าไปยังสะพาน มองหาผักบุ้ง
          นั่นไง วันนี้ฉันจะทำผักลวง กินกับแจ่วปลาร้า มันเป็นอาหารชอบของตาเลย
          หนูบัวลงมือเก็บผักบุ้งด้วยความเร็ว เพราะเวลานี้ก็จวนจะค่ำแล้ว พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า มีเพียงความมืดที่เริ่มปกคลุม
         เสร็จแล้ว กลับบ้านไปทำกับข้าวดีกว่า
          หนูบัวลงมือก่อไฟเพื่อทำผักลวก
          “โอ้ย ร้อน
          ชายที่เดินทางมากจากถิ่นอื่น ที่นอนพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ได้ยินเสียงคนร้อง จึงวิ่งมาช่วย
          เป็นอะไร ๆ หรือเปล่าบัว
          “อ้าว ยังไม่ไปอีกหรอจ้ะ พี่สมคิด
          “ยังหรอกว่าจะสร้างกระท่อมแถวนี้ อาศัยไปก่อน
          “กินข้าวรึยังไจ มากินข้าวด้วยกันจ้ะพี่สมคิด วันนี้บัวทำผักลวกกับแจ่วปลาร้า ของโปรดตาน่ะ
          “แล้วตาไปไหนล่ะ
          “ตาเสียแล้วล่ะจ้ะ
          “พี่เสียใจด้วยนะ
          ทั้งสองทานข้าวด้วยกันอย่างมีความสุข พูดคุยกันด้วยความสนุกสนาน หนูบัวไม่เคยหัวเราะแบบนี้มานานมากแล้ว หลังจากที่ตาของเธอได้เสียไป แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้า ทั้งสองก็เริ่มสนิทสนม ทานข้าวด้วยกันทุกวัน สมคิดช่วยหาปลา หาอาหารมาให้หนูบัวเป็นคนทำ ทั้งสองใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ทุกวัน เพราะกระท่อมที่สมคิดอาศัยอยู่นั้น อยู่ไม่ไกลมากนัก สามารถเดินไปมาหากันได้สะดวก
          เมื่อทั้งสองได้พูดคุยกันทุกวันก็เกิดความรักใคร่ต่อกัน สมคิดและหนูบัวจึงตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน อาศัยอยู่ที่กระท่อมแห่งนี้ สมคิดเป็นคนที่ขยันขันแข็ง มุ่งมานะ เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี ดูแลเรื่องอาหารการกินในแต่ละวัน โดยที่หนูบัวต้องอยู่บ้านทำงานบ้านเพียงอย่างเดียว เพราะการเข้าป่า หาอาหาร สมคิดจะเป็นคนเข้าป่าเอง
          ทั้งสองอยู่ด้วยกันไม่นาน หนูบัวก็ได้ตั้งท้อง โดยที่ไม่ได้บอกสมคิด เพราะเกรงว่าสมคิดจะเป็นห่วงตนมากเกินไป จนไม่กล้าออกไปไหน วันหนึ่งสมคิดสังเกตเห็นว่าท้องของหนูบัว โตกว่าปกติทุกวัน จึงถามไปว่า
          ทำไมท้องบัวใหญ่ขึ้นนะ
          “บัวท้องจ้ะพี่
          “จริงหรอจ้ะ
          “จริงจ้ะ
          “ไชโย เมียข้าท้องแล้ว
          “พี่จะตะโกนทำไม
          “แล้วทำไมไม่บอกพี่ล่ะ
          “บัวกลัวว่าพี่จะเป็นห่วง ไม่กล้าให้อยู่คนเดียวนะจ้ะ
          สมคิดประคบประงมหนูบัวเป็นอย่างดี นี่คงเป็นรักแรกของทั้งสองข้าง เด็กที่จะเกิดมาก็เป็นสายเลือดที่แท้จริง หนูบัวก็ได้คลอดลูกออกมาเป็นผู้ชาย ทั้งสองตั้งชื่อว่า จันทร์ เพราะลูกคนนี้ได้เกิดในคืนเดือนหงาย ทั้งสามคนใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข มีพ่อ แม่ ลูก
          ถ้าหากวันใดกายของทั้งสองต้องแยกจากกันไปในที่ที่ต่างกัน แต่มันจะไม่สามารถแยกความรักที่ฉันมีต่อพี่สมคิดได้  ความรักที่ฉันมีต่อพี่สมคิดจะไม่มีวันเสื่อมคลายและจะเป็นเช่นนี้ตลอดไปนิจนิรันดร์
            เรื่องของแม่เศร้าจังอึก อึก
              “ร้องไห้ทำไมลูก
              “หนูคิดถึงตาและแม่มาลีจ้ะ หนูอยากให้แม่มาลีกลับมาที่นี่อีกจัง
              “มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกลูก
              “หนูอยากกอดพ่อจังเลยจ้ะแม่ หนูคิดถึงพ่อ ฮือฮือ
          กาลเวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แม่บัวได้แต่ข่มใจตัวเองไม่ให้คิดถึงเรื่องนี้อีก และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่พูดเรื่องนี้กับใครอี อดีตมันทำร้ายแม่บัวมามากและมันจะไม่มีทางกลับมาทำร้ายเธอได้อีก 


         
                                                                                                                  วรรณ นภา

วรรณกรรมตนเองตอนที่ 11

เรื่อง เพื่อนผี


ไม่มีเธอ
          ครั้งนี้คงเป็นคราวที่เธอต้องใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียว ไม่มีแม้แต่คนที่เข้าใจ คนที่คอยอยู่เคียงข้าง มันช่างโดดเดี่ยวยิ่งนัก เวลาผ่านไปนานหลายปี ปีนี้็เข้าปีที่ 3 แล้ว แต่หัวใจของหนูบัวยังคงคิดถึงตาสอนและมาลี 
          “ป่านนี้ตาคงอยู่บนสวรรค์ แล้วเธอล่ะมาลี เธอยู่ที่ไหน มันไม่มีอีกแล้วสินะ วันที่ฉันหัวเราะ วันแห่งความสุขหนูบัวพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า
          หญิงสาวร่างบาง ผมยาว นั่งอยู่ที่ม้านั่งข้างกระท่อม มองดูหมู่นกที่พากันโบยบินไปมา ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงระรัวมาแบบไม่ยั้ง
         มาลี เธออยู่ไหนเสียงของหนูบัวร้องถาม
          ฉันลืมนึกไปว่าเธอไปจากที่นี่แล้วเสียงนั้นความจริงเป็นเสียงกิ่งไม้ที่มันกำลังจะหัก แต่หนูบัวได้ยินเสียงอะไรก็เหมือนมีคนเรียกตลอดเวลา
          จิ๊บ จิ๊บ นกกระจิ๊บร้องเซ็งแซ่อยู่บนแผ่นฟ้าสีขาว หมู่เมฆที่เกาะตัวกันได้เคลื่อนตัวเข้ามาบดบังแสงของดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมา บรรยากาศในตอนนี้ช่างเหมาะแก่การนอนพักผ่อน เปลที่ผูกติดไว้กับต้นไม้ใกล้ลำคลอง มีสายลมพัดพาเอาความเย็นเข้ามา ณ บริเวณนี้
          นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่นะ
          จิ๊บ จิ๊บ
          เจ้านกมันร้อง เหมือนกับมันได้ยินความคิดของฉันเลย ฉันควรเลิกคิดเรื่องนี้ได้แล้ว
          หนูบัวตั้งใจมุ่งมั่นที่จะไปเก็บผัก ก้าวเท้าไปหยิบเอาตะกร้ามาหนึ่งอัน แล้วเดินไปที่สะพานไม้ที่มีเรือลำเล็กผูกติดอยู่กับสะพาน ครั้งหนึ่งมันเคยมีความทรงจำดีๆ เมื่อครั้งที่หนูบัวไปเก็บผักบุ้งที่ริมคลองด้วยกันกับมาลี ซึ่งแตกต่างจากตอนนี้ที่มันมีเพียงแค่เรือ มีแค่ความว่างเปล่า
          หนูบัวก้าวเท้าลงไปนั่งในเรือ จ้วงไม้พายไปยังลำคลองที่อยู่ฟากหนึ่ง ลำคลองฝั่งนี้มีสายน้ำเย็นฉ่ำ ซึ่งแตกต่างจากลำคลองที่อยู่ข้างบ้าน หนูบัวใช้มือวิดน้ำขึ้นมาล้างหน้า เพราะบรรยากาศในตอนนี้เริ่มร้อนแล้ว
         เย็นสบายจัง
          “ข้างหน้า ผักกะเฉดทอดยอดยาวออกมามากเลยทีเดียวหนูบัวเร่งฝีพายเพื่อไปให้ถึงเร็วๆ
          นี่คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้ หนูบัวไม่กลับไปคิดเรื่องมาลี แต่กลับมุ่งมั่นในการจ้วงไม้พาย แล้วตอนนี้สิ่งที่ทำให้มีความสุข ก็คงเป็นการเก็บผักกะเฉดเพื่อจะนำไปขาย
          ฉันจะเก็บให้หมดเลย จะได้เอาไปขายที่ตลาด ฉันนึกได้แล้ว ฉันมีต้นมะละกอ ฉันจะเก็บไปกินกับส้มตำด้วยใบหน้าของหนูบัวมีแต่รอยยิ้ม
          ตาจ๋า หนูบัวทำอะไรด้วยตัวเอง เหมือนที่ตาบอกไว้แล้วนะจ้ะ หนูบัวจะไม่ยอมแพ้กับอุปสรรคเด็ดขาดจ้ะ
          หนูบัวใช้มือข้างขวาเก็บผักกะเฉดที่ลอยอยู่ในน้ำ มือหนึ่งจับเรือไว้ เพราะกลัวที่จะพลาดตกน้ำไป การที่เธอระวังตัวมากเกินไป ก็ทำให้เก็บผักกะเฉดได้น้อย หนูบัวจึงเอามืออีกข้างที่จับเรือ ยื่นไปเก็บผักกะเฉด แต่ความโชคร้าย เรือถูกคลื่นน้ำซัด จึงทำให้เรือสั่นไปมา หนูบัวจึงพัดตกลงไปในน้ำ เธอจึงอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับตัว กายจึงลอยทวนน้ำขึ้นมา เธอใช้มือทั้งสองข้างว่ายทวนน้ำขึ้นฝั่งอย่างคล่องแคล่ว
          ฉันว่ายน้ำเองได้แล้ว ตอนนั้นเธอยังสอนฉันอยู่เลยนะมาลี
          การที่หนูบัวว่ายน้ำได้เองนั้น เป็นเพราะตัวเธอเอง ไม่มีเพื่อนสาวที่ไร้ตัวตนอยู่จริง ไม่มีคนที่คอยช่วยเหลือเธอเลย ความจริงเธอทำอะไรด้วยตัวเธอเอง เมื่อครั้งที่เธอโดนงูกัด พัดตกจากเรือจมน้ำ ไปขายผักที่ตลาดแล้วขายผักไม่ได้ ไปหาหน่อไม้แล้วโดนชาวบ้านไล่ เจอช้างป่าไล่เกือบเอาชีวิตไม่รอด  เพื่อนสาวที่ไร้ตัวตนที่เธอคิดว่าเป็นเพื่อนเธอนั้น ความจริงแล้วมาลีเป็นเพียงคนในความคิดเท่านั้น ไม่มีเพื่อนผีอยู่จริง การที่หนูบัวจะมีเพื่อนเป็นผีนั้น มันเป็นสิ่งที่ใครต่างไม่ยอมรับ หนูบัวถูกชาวบ้านหาว่าเป็นบ้า เธอไม่ได้เป็นคนบ้าอย่างที่ใครคิด แต่ที่ต้องพูดคนเดียว เล่นคนเดียว เพราะเธอไม่มีเพื่อนเลย ตั้งแต่เด็กหนูบัวต้องเล่น พูดคนเดียวมาโดยตลอด มีเพียงตาเท่านั้นที่เล่นกับหนูบัว หนูบัวเป็นเด็กที่เลี้ยงง่าย เข้ากับคนได้ง่าย แต่เพียงบ้านของเธอที่อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้าน และด้วยฐานะของเธอ จึงทำให้เธอไม่กล้าที่จะเล่นกับใคร
         

                                                                                                                                วรรณ นภา












วรรณกรรมตนเองตอนที่ 10


เรื่อง เพื่อนผี



ร่ำลา
          เช้าวันใหม่ที่สดใส หนูบัวขยับตัวจากที่นอนตื่นขึ้นมาตอนสาย บิดตัวอย่างเกียจคร้าน สวัสดีเช้าวันใหม่ เริ่มต้นใหม่ ไม่สิ! ถ้าจะให้พูดใหม่คือกลับมาเป็นคนเก่าต่างหาก แม้มันจะไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่ ใต้ตาเป็นสีคล้ำ ตาบวม ดูล้า ๆ บ่งบอกว่าเมื่อคืนนอนดึก และคงร้องไห้หนัก คราบน้ำตายังติดอยู่ที่แก้มอยู่เลย
          ร่างที่เดินออกมาจากในกระท่อม ช่างผอมโซนัก ใบหน้าซีดเซียว
          ตอนนี้เธออยู่ไหนนะ เธอจะรู้บ้างไหมว่าการที่เธอจากไปโดยที่ไม่ได้ร่ำลา มันทำให้ฉันเสียใจแค่ไหน วันแรกที่เธอต้องการเป็นเพื่อนกับฉัน เธอกลับต้องพยายามมากมายเพื่อให้ฉันเห็น แต่วันนี้มันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คำว่าเพื่อนสำหรับฉันแล้ว มันมีความหมายมากนะ มีคนคนหนึ่งเคยบอกกับฉันว่าจงเริ่มต้นกับวันใหม่ และลืมเรื่องราววันเก่า ๆ แต่ใครล่ะจะทำได้ ฉันก็เช่นกัน
          หนูบัว หญิงสาวที่มีใจมุ่งมั่น กล้าที่จะทำอะไรด้วยตนอง ไม่เคยกลัวแม้แต่อุปสรรคที่อยู่ข้างหน้า เธอตัดสินใจออกเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ เพื่อตามหาสิ่งที่มีค่าอีกสิ่งหนึ่ง เธอไม่อยากสูญเสียสิ่งที่มีค่าไป โดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย อย่างเช่นที่ผ่านมา การที่สิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตเขาเธอต้องจากไป ทั้งที่เธอยังไม่ได้ดูแลสิ่งนั้นให้ดี
          แครก แครก เสียงฝีเท้าขนาดเล็กเดินไปตามถนน เข้าไปในป่า แม้ว่าป่าแห่งนั้นหนูบัวจะยังไม่เคยไป ไม่รู้ว่ามันจะมีภัยอันตรายแค่ไหน แต่เธอก็กล้าที่จะเสี่ยง สองเท้าที่ก้าวไป อย่างมีความหวังว่าจะพบกับคนที่เธออยากพบ แต่กลับมีเสียงอะไรบางอย่างกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
          เสียงอะไรอยู่ข้างหน้านะ รึว่าจะเป็นคนหาของป่า
          หนูบัวซุ่มดูอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เมื่อเห็นสิ่งที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามา กลับทำให้ต้องสะตั้นไม่น้อย
          อร้าย ช้าง ช้าง ช้างป่า
          เมื่อช้างป่าเห็นหนูบัว มันคงคิดว่าเป็นสัตว์ป่า จึงพุ่งทะยานเข้ามาด้วยความเร็ว ช้างป่ามันดุร้ายเพราะยังไม่ได้ถูกฝึกให้เชื่องเหมือนกับช้างบ้าน มันจึงดุร้ายเมื่อเห็นสิ่งที่เข้ามาในป่า มันคงกลัวว่าจะมีใครมาทำร้ายมันเข้า มันจึงต้องปกป้องตัวเอง
          ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! มาลี เธออยู่ไหน
          “ฮือ ฮือ ทำไมเธอถึงปล่อยให้ฉันต้องเผชิญสิ่งนี้อยู่คนเดียว
          “หนูบัวมานี่เร็วเสียงใครแว่วมาจากด้านหลัง
          มาลี ช่วยฉันได้
          “เธอเดินช้าๆ อย่าส่งเสียงดัง
          มาลีช่วยหนูบัวให้รอดชีวิตจากการถูกช้างป่าไล่ ทั้งสองเดินทางกลับมาบ้านพร้อมกัน
          ที่นี่เปลี่ยนไปนะ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้อยู่ที่ที่นี่มาสี่วัน
          “เธอทำไมถึงจากฉันไปแบบนี้ ไหนบอกว่าจะไม่ทิ้งกัน เธอผิดคำสัญญา ต่อจากนี้ไปเธอไม่ต้องสัญญาอะไรอีก เพราะฉันจะไม่เชื่อเธออีกต่อไป
          “ฉันขอโทษนะหนูบัว ฉันเพียงไม่ต้องการให้ใครหาว่าเธอบ้า พูดอยู่คนเดียว ฉันจึงจำเป็นต้องไปจากที่นี่
          “ถึงแม้ใครจะว่าฉันบ้า แต่ฉันไม่สนใจหรอก มาลีเธอรู้ไหม การเป็นเพื่อนกับใครสักคน การใช้ชีวิตกับใครสักคน ถึงแม้ว่าเขาคนนั้นจะมีตัวตนหรือไม่มี แต่มันคือความทรงจำที่เราควรใส่ใจ มากกว่าคำพูดของคนอื่น
          “ฉันขอโทษนะมาลีพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
          ฉันยังไม่เลิกล้มที่จะไปจากที่นี่ ฉันตั้งใจกลับมาลาเธอ หนูบัวเธอจงเข้มแข็ง อยู่คนเดียวให้ได้ ฉันไม่ต้องการให้ใครหาว่าเธอบ้า
          “ฉันอยากให้เธออยู่ที่นี่ต่อนะมาลี
          “ถึงแม้วันนี้ฉันจะยังอยู่ที่นี่ แต่ต่อไปฉันก็ต้องจากเธอไปเหมือนเดิม เธอจงต่อสู้กับสิ่งต่างๆให้ได้
          “ฉันคิดถึงเธอนะมาลี เธอคือเพื่อนที่ดีที่สุดที่ไม่มีใครเหมือน ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันจะเก็บไว้ในความทรงจำตลอดไป
          “ลาก่อนหนูบัว เธอคือเพื่อนที่ดีที่สุดเช่นกัน วันหนึ่งเราต้องได้พบกันอีกครั้ง
          หนูบัวต้องแยกจากกันมาลี ทั้งๆที่ไม่อยากจากกันไปไหน มันคงถึงเวลาที่ต้องไป สักวันถ้าเธอทั้งสองคนยังมีกรรมต่อกัน การจากไปของเธอ กับการล่ำลา มันทำให้หนูบัวรู้ว่ามาลีรักเพื่อนคนนี้มาก จึงต้องยอมหนีไป เพราะความสงสารเพื่อน นี่สินะคือคำว่าเพื่อนแท้ที่ใครๆหลายคนต่างสงสัย


                                                                                                                       วรรณ นภา


วรรณกรรมตนเองตอนที่ 9

เรื่อง เพื่อนผี

คำกล่าวหา
          ป่าแห่งนี้ช่างเหี่ยวเฉา ไม่มีต้นหญ้า พื้นดินแห้งเป็นผุยผง ฝนไม่ตกตามฤดูกาล หมู่สัตว์น้อยใหญ่พากันไม่มีหญ้ากิน ลำคลองแห่งนี้น้ำก็ลดลงมาก สามารถมองเห็นพื้นดินได้ หมู่ปลาที่พากันแหวกว่ายไปมา ตอนนี้กลับไม่มี พวกมันคงถูกชาวบ้านจับไปกินหมดแล้วสินะ
          เช้าวันนี้ช่างโดดเดี่ยวนัก เรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาเกือบสองเดือน มันคือความทรงจำที่โหดร้ายที่สุด ที่ยากจะทำใจได้
          มาลี เธออยู่ไหน
          ฉันอยู่นี่ไง มีอะไรหรอ
          “วันนี้เราไปหาจับปลากันดีไหม ฉันเห็นที่ดักปลาอยู่ตรงนั้น สงสัยตาคงทำไว้นานแล้ว
          “ทำไมเธอถึงทำหน้าเศร้าแบบนั้นล่ะมาลีถามขึ้นด้วยความสงสัย
          ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ ภายในจิตใจมันบอบช้ำ ยากที่ทำใจได้เพียงเวลาสั้น ๆ หนูบัวอาศัยอยู่
คนเดียวที่กระท่อม มีเพียงเพื่อนสาวที่ไร้ตัวตนอยู่ด้วย
          ฉันคิดถึงตาจัง
          “ฉันไม่อยากให้เธอเก็บเอาเรื่องที่ผ่านมา มาคิดให้เธอต้องเศร้า ฉันเข้าใจว่าเธอเสียใจ แต่เธอต้องเข้มแข็งให้ได้สิ
          “ฉันจะพยายามนะมาลี เราไปจับปลากันดีกว่า
          ทั้งสองมุ่งหน้าไปที่ลำคลองที่อยู่อีกฝากหนึ่ง มีชาวบ้านสองคนที่กำลังถือกระบุงเพื่อมาเก็บปลาที่ลำห้วยใกล้ ๆ ชาวบ้านทั้งสองเดินมา แต่กลับต้องตกใจ เมื่อเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังพูดอยู่คนเดียว ชาวบ้านสองคนซุ่มดูอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เห็นหญิงสาวยิ้ม หัวเราะอย่างมีความสุข กำลังนั่งจับปลาใส่ฆ้อง
          นางหนูคนนี้มันพูดกับใครวะแม่แช่มเริ่มสงสัย
          มันพูดกับผีรึป่าววะแม่ชื่นพูดขึ้น
          หืย นางหนูคนนี้มันปกติรึป่าววะ
          “มานี่ นางแช่มเดี๋ยวข้าจะพาเดินเข้าไปถามดู
          “หญิงสาวผู้นี้ ข้าเคยเห็นที่ตลาด เห็นไปขายผัก แต่นานแล้วนะ แม่ชื่น
          หนูบัวเธอหารู้ไม่ ว่ามีคนกำลังสงสัยว่าเธอกำลังพูดอยู่กับใครอยู่
          มาลี ปลาเยอะจัง ฉันจะเก็บไปทำปลาแห้งไว้กินนาน ๆ
          ชาวบ้านสองคนที่ซุ่มดู พากันเดินเข้ามาใกล้
          นี่เจ้าคุยกับใครอยู่ แม่หนู
          หนูบัวสะดุ้ง เฮือก เมื่อได้ยินเสียใครถาม
         หนูยังไม่ได้คุยกับใครเลยนะจ้ะยาย
          “ข้าเห็นเจ้าพูดอยู่กับใครไม่รู้ รึว่าเจ้าคุยกับผีหรอ
          “ป่าวจ้ะยาย หนูนั่งเก็บปลาอยู่คนเดียวจริง ๆ
          ป่ะ เราไปเก็บปลาในห้วยกันดีกว่า คงตาฝาดไป
          “เกือบไหมล่ะมาลี
          “ฉันขอโทษนะที่ทำให้เธอลำบากใจอีกแล้ว
          “ช่างเถอะมาลี กลับบ้านกัน ฉันจะทำปลาแห้งไว้กิน เธอจะไปเล่นที่ไหนก็ไปเถอะ
          ชาวบ้านสองคนนั้นเดินกลับมาเห็นหนูบัวพูดอยู่คนเดียว
          “เธอเป็นบ้าแน่ ๆ อย่างนี้ต้องไปบอกให้ชาวบ้านรู้ นางหนูคนนี้เป็นบ้า
          “ป่ะ ไปกัน
          หนูบัวได้ยินแบบนั้น ก็ตกใจมาก กลัวว่ามาลีจะมาได้ยิน แต่มันก็ไม่เป็นอย่างที่คิด มาลีซึ่งมาได้ยินเข้าพอดี คำพูดครั้งนี้ มันทำให้มาลีต้องเสียใจมาก
          มาลีตัดสินใจไปจากหนูบัว โดยไม่ลาเลยสักคำ เพราะคำพูดที่ชาวบ้านพูดนั้น มันทำให้มาลีไม่อาจอยู่ที่นี่ได้อีก ความรักที่มีต่อหนูบัวมันมากมาย เกินกว่าที่จะทำร้ายได้
          ฉันไปก่อนนะ ฉันขอโทษที่ต้องจากไปแบบนี้ สักวันเราคงได้พบกันอีก เพื่อนรัก
          ปลาที่อยู่ในกระบุงถูกผ่าท้องเอาไส้ออกทุกตัว หนูบัวนำปลาที่หมักเกลือไว้แล้ว ไปตากแดดไว้
         มาลี ยุไหนมีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมา
          “เธอหายไปไหน รึว่ามาลีจะได้ยินที่ชาวบ้านพูด เธออย่าจากไปแบบนี้สิ ไหนเธอบอกว่าจะอยู่ข้างๆ ไม่ไปไหน
          ฮือ ฮือ
          ฉันจะไม่ยอมให้เธอไปไหน เธอคือเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับฉัน ฉันจะต้องตามหาเธอให้พบให้ได้
         
         
                                                                                                                                      วรรณ นภา





วรรณกรรมตนเองตอนที่ 8

เรื่อง เพื่อนผี



ความโชคร้าย

          “มันเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นเพื่อให้อยู่คู่กับโลก แต่ทำไมการอยู่บนโลกนี้ใบนี้ถึงได้สั้นนักล่ะ ในแต่ละวันชีวิตเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายเส้นหนึ่งเท่านั้น ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะขาดลงเมื่อใด หากโลกนี้มีเพียงความสุข ก็คงไม่ใช่มนุษย์ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีวันดับไป อย่างเช่นวันนี้ที่มันได้เกิดสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีิวิตฉัน แต่คงไม่มีใครห้ามสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นไม่ได้แม้แต่ตัวฉันเอง
          ตาสอน เป็นคนเดียวที่เลี้ยงหนูบัวมาตั้งแต่เกิด จนตอนนี้หนูบัวก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ซึ่งต่างจากตาที่แก่ชราลงไปทุกปี ปีนี้เป็นปีที่ 17 ที่ตาสอนดูแลหนูบัวมา ความชราของตาก็ย่างเข้า 70 ปีแล้ว แต่วันนี้กลับต้องเป็นวันที่หนูบัวต้องดูแลตาสอน
          ตาสอนป่วยมานานแรมหลายปี โดนที่ไม่มีใครรู้ จนกระทั่งวันนี้มีอาการทรุดหนักขึ้นเรื่อย ๆ หนูบัวจึงได้ตัดสินใจพาตาสอนไปหาหมอที่โรงพยาบาล
          ตาจ๋า เดี๋ยวหนูบัวจะพาตาไปหาหมอนะจ้ะ
          “ตาไม่เป็นอะไรมาหรอกลูก ตาคงเหนื่อย เข้าป่าหลายวันนะ
          “ไม่ได้นะตา ตาป่วยมาสามวันแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น ตาอย่าดือสิจ้ะ
          การเดินทางไปโรงพยาบาลในวันนี้ ต้องอาศัยรถเครื่องของชาวบ้านที่ช่วยพาตาไปโรงพยาบาล ถนนผิวขรุขระ กว่าจะเดินทางถึงก็เหนื่อยอยู่เหมือนกัน
          “เร็ว เร็ว เอาขึ้นเตียงเลยนะ รีบนำตัวเข้าห้องฉุกเฉินด่วนเลยเสียงพนักงานที่ทำงานอยู่โรงพยาบาลพากันร้องเรียกกันอย่างวุ่นวาย
          “อ้าว มีคนป่วยอยู่นี่ เอารถเข็นมาเร็ว
          หนูบัวมองด้วยความแปลกใจ แต่ก็ยังดีที่พนักงานใส่ใจคนป่วยทุกคนเท่ากัน ตาสอนถูกนำตัวเข้าห้องตรวจอย่ารวดเร็ว
          ณ ห้องตรวจที่อยู่ทางขวามือของห้องฉุกเฉิน รถเข็นที่มีตาแก่คนหนึ่งนั่งอยู่ พนักงานชายเข็นรถเข้าห้องตรวจที่อยู่ด้านขวาด้วยความรวดเร็ว ทุกคนที่มาโรงพยาบาลบางท่านต้องนั่งรอนานเกือบหลายชั่วโมง หนูบัวมองดูผู้คนด้วยความสงสัย ทำไมตาถึงได้เข้าห้องตรวจก่อนใคร?
          ภายในห้องช่างเย็นยะเยียบนัก อาจจะเป็นเพราะแอร์ที่เปิดให้ความเย็นอยู่ในขณะนี้
          “สวัสดีครับ คนไข้ป่วยมานานรึยังครับ
          “ก็มีอาการอ่อนเพลียแบบนี้มานานแล้ว แต่เป็นบางช่วง ตอนนี้ก็กลับมาเป็นอีกครั้ง
          “หมอขอดูอาการหน่อยนะครับ
          “ครับ
          “ตามาหาคุณพ่อช้าไปนะครับ ตอนนี้โรคร้ายนั้นได้มีอาการถึงขั้นรุนแรงแล้ว
          สีหน้าของตาสอนที่เคยสดใส ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความทุกข์ แก็ก เสียงประตูห้องกำลังเลื่อนออก สายตาทั้งคู่ต่างจับจ้องไปที่ประตูนั้นด้วยความสงสัย
          ตาจ๋า ตาเป็นยังไงบ้าง
          “เดี๋ยวพนักงานจะพาตาไปรับยาด้านนอกนะครับ ผมขอคุยกับญาติก่อนครับ
          พนักงานชาย ตัวสูง รูปร่างผอม เดินเข้ามาในห้อง แล้วพาตาสอนออกไปด้านนอก
          “ตาเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ
          “ตอนนี้คุณตาได้ป่วยหนัก ถ้าหากมาหาหมอเร็วกว่านี้คงจะดี ตาสอนป่วยเป็นโรคมะเร็งครับ เนื่องจากตาสอนไม่ได้รับการรักษา จึงทำให้อาการทรุดลงไปเรื่อยๆ
          “ห๊า ตาจะป่วยได้ยังไงคะหมอ ตาร่างกายแข็งแรงมาตลอด
          “โรคนี้บางครั้งอาจไม่แสดงอาการให้เห็นนะครับ ตาสอนคงอยู่ได้อีกเพียงหนึ่งอาทิตย์เท่านั้น หมอเสียใจด้วยนะครับ
          “ฮือ ฮือ
          เธอก้าวออกมาจากห้องตรวจด้วยขาที่สั่น ใบหน้าเต็มไปด้วยหยดน้ำตา
          “มันไม่จริงใช่ไหม ตาอย่าจากหนูบัวไปได้ไหม
          “ฉันเสียใจด้วยนะ อย่างน้อย เธอยังมีฉันที่เป็นเพื่อนเธอนะ ฉันจะอยู่กับเธอ ไม่มีวันทิ้งเธอไปไหน
          “ฮือ ฮือ ฉันต้องทำยังไงดี
          เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันเป็นเหมือนสิ่งที่เลวร้ายที่สุด หนูบัวคงอยากให้เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน มากกว่าความจริง
          “หนูบัว มาหาตามา
          “ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทำไมฟ้าถึงกลั่นแกล้งเราให้เป็นแบบนี้
          “ทุกคนเกิดมาย่อมมีกรรม เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ช้าก็เร็ว อย่าเศร้าไปเลยลูก ยิ่งลูกเศร้าแบบนี้ ตายิ่งไม่สบายใจ
          “อึก อึก
          “กลับบ้านกันเถอะลูก
          บรรยากาศบนรถเครื่องมีเพียงความเงียบ กับเสียงลมที่กระโชกไปมา

          ณ กระท่อมริมคลอง
          “ตาไปนอนพักผ่อนเถอะจ้ะ เดี๋ยวหนูบัวจะทำข้าวต้มให้ตากินเอง
          “ตาขอบใจมากนะ
          “เธอเป็นเด็กดี ทุกคนถึงรักเธอ แต่ทำไมฉันถึงสงสารเธอจังมาลีมองดูหนูบัว
          มือทั้งสองข้างกำลังผ่าฟืน เพื่อก่อไฟ ทำข้าวต้ม มือที่เร่งรีบจนเกินไป ทำให้โดนน้ำร้อนกระเด็นใส่ แต่มันคงไม่ใช่อุปสรรค แต่ความรักและความห่วงใยต่างหากที่ทำให้ต้องสู้
          “ข้าวต้มมาแล้วจ้ะตา ตาลุกขึ้นมากินข้าวนะ แล้วจะได้กินยา
          “น่ากินจังลูก
          มาลี เพื่อนสาวที่ไร้ตัวตน นั่งมองด้วยความสุข แต่ความสุขนั้นกลับมีหยดน้ำตาไหลลงตามร่องแก้มทั้งสองข้าง
          ร่างตาสอนที่นอนป่วยอยู่บนที่นอนผืนเก่า นับวันอาการก็ยิ่งทรุดหนักลงทุกวัน นี่ก็ใกล้จะเข้าวันที่ 7 แล้ว ครบหนึ่งอาทิตย์ที่หมอได้บอกไว้ จิตใจของหนูบัวในตอนนี้ ช่างเศร้านัก เธอนั่งมองดูตาที่นอนอยู่ นับว่าอาการแย่ลงไปทุกที พรุ่งนี้ก็เป็นวันที่เจ็ดพอดี
          “ตาจ๋า พรุ่งนี้ ตาอยากกินอะไรจ้ะ เดี๋ยวหนูบัวจะเข้าป่าไปหา
          “ตาอยากกินผักลวกกับแจ่วปลาร้าพอดี
          “เดี๋ยวพรุ่งนี้ หนูบัวจำทำให้ตากินเอง ตาแข็งแรงขึ้นมากเลยนะหนูบัวรู้ดีว่าสิ่งที่พูดออกมามันตรงข้ามกับความเป็นจริง แต่มันคงเป็นคำพูดที่ปลอบใจได้ดีที่สุดแล้วในตอนนี้
          เอ้ก อิ เอ้ก เอ้ก
          ตาจ๋า หนูบัวจะเข้าป่านะจ้ะ ตานอนอยู่เฉยๆอย่าลุกไปไหนนะ ตา ตา  ยังไม่ตื่นหรอ
          หนูบัวก้าวเท้ามานั่งลงตรงหน้า ตาไม่ยอมตื่นและพูดอะไรเลย
          “ตา ตาหนูบัวใช้มือจับที่จมูกเพื่อดูว่ายังหายใจอยู่ไหม
          “ฮือ ฮือ ทำไมตาถึงทิ้งหนูบัวไป ตาใจร้ายที่สุดเลย ไหนตาบอกว่าอยากกินผักลวกกับแจ่วปลาร้าไง ตื่นขึ้นมาสิจ้ะตาหนูบัวเขย่าร่างตาสอนไปมา
          “เธอต้องเข้มแข็งนะ ตาไปสบายแล้วมาลีพูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยน
          ชีวิตช่างเลวร้ายนัก การสูญเสียคนที่รักไปมันเหมือนกับเราขาดอะไรบางอย่างในชีวิต ชีวิตช่างไม่ยั่งยืนอย่างที่ใครคิด หากพรุ่งนี้ยังเห็นก็เหมือนยังมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าหากวันใดที่ไม่เห็น ก็คงต้องจากไป
          “ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้ ฉันจะขอเป็นคนที่ต้องจากไปเอง หากคนที่รักฉันเจ็บ ฉันจะเป็นคนเจ็บแทนเอง แต่คงเป็นความจริงที่เป็นไปไม่ได้ ในเมื่อโชคชะตากำหนดมาแล้ว
         
         
                                                                                                                          วรรณ นภา