วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2560

วรรณกรรมตนเองตอนที่ 12

เรื่อง เพื่อนผีี




พบรัก
         
          เช้าวันใหม่ที่สดใส หนูบัวพลิกกายไปมา บิดกายไปมาด้วยความเกียจคร้าน
          เช้าแล้วหรอเนี่ย ทำไมวันนี้ฉันถึงรู้สึกแปลก ๆ เหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้นเลย
          ขณะที่กายยังคงนอนอยู่บนที่นอน ห่มผ้าห่มผืนเก่าอยู่นั้น ได้มีเสียงดังกังวาน ดังมาจากทางทิศใต้
          บึ้ม บึ้ม
          หนูบัวสะดุ้งตื่นขึ้นมา เมื่อเสียงนั้นดังเข้ามาใกล้มากขึ้น
          เสียงอะไรนะ รึว่าใครจะมีใครมายิงนกอยู่แถวนี้
          เมื่อเสียงนั้นเงียบไป ดวงตาทั้งสองข้างของหนูบัวก็หลับลงอีกครั้ง
          เปรี้ยง!
          “เฮือก เสียงอะไรอีก
          หวือ หวือ เสียงสายลมที่พัดเข้ามาด้วยความเร็ว ได้พัดเอาสิ่งของที่วางอยู่ ปลิวกระจัดกระจายไปตามสายลม พายุลูกใหญ่กำลังมาอีกครั้ง หลังจากที่ฝนไม่ตกมานานหลายเดือน หนูบัวลุกพรวดพราดขึ้นจากที่นอนด้วยความตกใจ ก้าวเท้าออกจากบ้าน ยืนมองดูสายลมที่พัดพาพายุฝนเข้ามา
          ป็อก แป็ก ฝนเม็ดใหญ่ที่หล่นลงมาจากฟากฟ้า เหมือนว่าหลังคาจะทะลุลงมา
          ทำไมฝนตกแรงจัง เหมือนจะมีลูกเห็บตกลงมาเลย
          สิ่งที่หนูบัวสังหรณ์ใจว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียว หนูบัวได้แต่ยืนมองดูสายฝนที่กำลังถาโถมเข้ามาอย่างหนัก โดยทำอะไรไม่ได้ พายุครั้งนี้มีความน่ากลัวมากกว่าทุกครั้ง ทั้งสายฝน และสายฟ้า ที่มีความน่ากลัว เปรี้ยง!
          ฟ้าผ่าอีกแล้วหรอเนี่ย ทำไมพายุครั้งนี้ถึงน่ากลัวนัก ฉันคงต้องรอให้ฝนหยุดตกอีกกี่ชั่วยาม
          ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ฝนก็เริ่มซาลง มองเห็นพื้นดินและพื้นหญ้ามากขึ้น
          ยาย ยายจะไปไหนหรอจ้ะ ดูรีบร้อนจัง  
          จะไปดักปลาที่ลำคลองนะสิ ฝนตกนานขนาดนี้ ป่านนี้ปลาคงเยอะ
          “ปลาเยอะใช่ไหมจ้ะยาย
          “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ปกติบ้านเราปลาเยอะ ข้าไปก่อนละ
          หนูบัวอยากไปหาปลาที่ลำคลองเหมือนกับยาย แต่ก็ไม่มีอุปกรณ์ในการดักจับปลาเลย
          นี่ ข้าวของปลิวไปไหนหมด
          หนูบัวเดินเก็บข้าวของที่ปลิวอยู่กระจัดกระจายอยู่ใกล้  ๆ กระท่อม แต่เมื่อเก็บของอยู่นั้น ก็เหลือบสายตาไปเห็นตะกร้าใบหนึ่ง ได้ปลิวไปอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่
          เอ๊ะ นั่นตะกร้าของฉันนิ”                               
          หนูบัวก้าวเท้าไปเก็บตะกร้าที่ปลิวไปอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่แห่งนั้น แต่เมื่อเดินไปถึงกลับต้องตกใจ เมื่อตะกร้าใบนั้นไม่ใช่ของเธอ เธอเห็นชายคนหนึ่งกำลังกินข้าวกับกล้วยสุกด้วยความอร่อย
          อุ้ย ฉันขอโทษ ฉันนึกว่าตะกร้าของฉัน
          “เธอเป็นเจ้าของที่แห่งนี้หรอ
          “ไม่ใช่หรอก บ้านฉันอยู่ตรงโน้นนะ
          “เธอชื่ออะไรหรอ
          “ฉันชื่อ บัว นะ และพี่ละเป็นใครมาจากไหน ทำไมไม่เคยเห็นหน้าเลย
          “พี่ชื่อ สมคิด น่ะ มาจากหมู่บ้านทางฝั่งโน้น ที่นั่นแห้งแล้งนัก พี่เลยต้องออกเดินทางมาหาที่อยู่แห่งไหม ถ้าอยู่ที่นั่น คงต้องอดตาย
          นายสมคิด เดินทางมาตามหาที่อยู่ใหม่ที่อุดมสมบูรณ์กว่าที่เก่า นายสมมีอายุ 30 ปี ซึ่งแก่กว่าหนูบัว เขารูปร่างผอม สูงไม่มากนัก
         ฉันไปก่อนนะพี่
          “เดี๋ยวก่อน ที่ตรงนี้ฉันพอจะสร้างที่อยู่ได้ไหม
          “ไม่ได้หรอก ที่แห่งคงมีเจ้าของ
          “เธอมีสามีรึยัง
          “ยังพี่ถามทำไม
          “พี่รู้สึกถูกชะตากับบัวยังไงไม่รู้
          หนูบัวเดินกลับมาที่กระท่อมด้วยความสงสัย เธอพึ่งรู้จักกับชายผู้นั้นไม่นาน แต่ต้องถูกถามด้วยคำถามที่แปลกใจ ใบหน้าของหนูบัวแดงระเรื่อ เหมือนคนมีความรัก ตั้งแต่หนูบัวอยู่ที่นี่มา เธอไม่เคยได้พบชายใดเลยในหมู่บ้านแห่งนี้ ต้องใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด หลังจากที่ตาเสียไป
          ผักบุ้งแถวลำคลองใกล้ๆคงทอดยอดแล้ว
          หนูบัวมุ่งหน้าไปยังสะพาน มองหาผักบุ้ง
          นั่นไง วันนี้ฉันจะทำผักลวง กินกับแจ่วปลาร้า มันเป็นอาหารชอบของตาเลย
          หนูบัวลงมือเก็บผักบุ้งด้วยความเร็ว เพราะเวลานี้ก็จวนจะค่ำแล้ว พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า มีเพียงความมืดที่เริ่มปกคลุม
         เสร็จแล้ว กลับบ้านไปทำกับข้าวดีกว่า
          หนูบัวลงมือก่อไฟเพื่อทำผักลวก
          “โอ้ย ร้อน
          ชายที่เดินทางมากจากถิ่นอื่น ที่นอนพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ได้ยินเสียงคนร้อง จึงวิ่งมาช่วย
          เป็นอะไร ๆ หรือเปล่าบัว
          “อ้าว ยังไม่ไปอีกหรอจ้ะ พี่สมคิด
          “ยังหรอกว่าจะสร้างกระท่อมแถวนี้ อาศัยไปก่อน
          “กินข้าวรึยังไจ มากินข้าวด้วยกันจ้ะพี่สมคิด วันนี้บัวทำผักลวกกับแจ่วปลาร้า ของโปรดตาน่ะ
          “แล้วตาไปไหนล่ะ
          “ตาเสียแล้วล่ะจ้ะ
          “พี่เสียใจด้วยนะ
          ทั้งสองทานข้าวด้วยกันอย่างมีความสุข พูดคุยกันด้วยความสนุกสนาน หนูบัวไม่เคยหัวเราะแบบนี้มานานมากแล้ว หลังจากที่ตาของเธอได้เสียไป แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้า ทั้งสองก็เริ่มสนิทสนม ทานข้าวด้วยกันทุกวัน สมคิดช่วยหาปลา หาอาหารมาให้หนูบัวเป็นคนทำ ทั้งสองใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ทุกวัน เพราะกระท่อมที่สมคิดอาศัยอยู่นั้น อยู่ไม่ไกลมากนัก สามารถเดินไปมาหากันได้สะดวก
          เมื่อทั้งสองได้พูดคุยกันทุกวันก็เกิดความรักใคร่ต่อกัน สมคิดและหนูบัวจึงตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน อาศัยอยู่ที่กระท่อมแห่งนี้ สมคิดเป็นคนที่ขยันขันแข็ง มุ่งมานะ เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี ดูแลเรื่องอาหารการกินในแต่ละวัน โดยที่หนูบัวต้องอยู่บ้านทำงานบ้านเพียงอย่างเดียว เพราะการเข้าป่า หาอาหาร สมคิดจะเป็นคนเข้าป่าเอง
          ทั้งสองอยู่ด้วยกันไม่นาน หนูบัวก็ได้ตั้งท้อง โดยที่ไม่ได้บอกสมคิด เพราะเกรงว่าสมคิดจะเป็นห่วงตนมากเกินไป จนไม่กล้าออกไปไหน วันหนึ่งสมคิดสังเกตเห็นว่าท้องของหนูบัว โตกว่าปกติทุกวัน จึงถามไปว่า
          ทำไมท้องบัวใหญ่ขึ้นนะ
          “บัวท้องจ้ะพี่
          “จริงหรอจ้ะ
          “จริงจ้ะ
          “ไชโย เมียข้าท้องแล้ว
          “พี่จะตะโกนทำไม
          “แล้วทำไมไม่บอกพี่ล่ะ
          “บัวกลัวว่าพี่จะเป็นห่วง ไม่กล้าให้อยู่คนเดียวนะจ้ะ
          สมคิดประคบประงมหนูบัวเป็นอย่างดี นี่คงเป็นรักแรกของทั้งสองข้าง เด็กที่จะเกิดมาก็เป็นสายเลือดที่แท้จริง หนูบัวก็ได้คลอดลูกออกมาเป็นผู้ชาย ทั้งสองตั้งชื่อว่า จันทร์ เพราะลูกคนนี้ได้เกิดในคืนเดือนหงาย ทั้งสามคนใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข มีพ่อ แม่ ลูก
          ถ้าหากวันใดกายของทั้งสองต้องแยกจากกันไปในที่ที่ต่างกัน แต่มันจะไม่สามารถแยกความรักที่ฉันมีต่อพี่สมคิดได้  ความรักที่ฉันมีต่อพี่สมคิดจะไม่มีวันเสื่อมคลายและจะเป็นเช่นนี้ตลอดไปนิจนิรันดร์
            เรื่องของแม่เศร้าจังอึก อึก
              “ร้องไห้ทำไมลูก
              “หนูคิดถึงตาและแม่มาลีจ้ะ หนูอยากให้แม่มาลีกลับมาที่นี่อีกจัง
              “มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกลูก
              “หนูอยากกอดพ่อจังเลยจ้ะแม่ หนูคิดถึงพ่อ ฮือฮือ
          กาลเวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แม่บัวได้แต่ข่มใจตัวเองไม่ให้คิดถึงเรื่องนี้อีก และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่พูดเรื่องนี้กับใครอี อดีตมันทำร้ายแม่บัวมามากและมันจะไม่มีทางกลับมาทำร้ายเธอได้อีก 


         
                                                                                                                  วรรณ นภา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น