เรื่อง เพื่อนผี
ความโชคร้าย
“มันเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นเพื่อให้อยู่คู่กับโลก
แต่ทำไมการอยู่บนโลกนี้ใบนี้ถึงได้สั้นนักล่ะ
ในแต่ละวันชีวิตเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายเส้นหนึ่งเท่านั้น
ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะขาดลงเมื่อใด หากโลกนี้มีเพียงความสุข ก็คงไม่ใช่มนุษย์
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีวันดับไป อย่างเช่นวันนี้ที่มันได้เกิดสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีิวิตฉัน แต่คงไม่มีใครห้ามสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นไม่ได้แม้แต่ตัวฉันเอง”
ตาสอน เป็นคนเดียวที่เลี้ยงหนูบัวมาตั้งแต่เกิด
จนตอนนี้หนูบัวก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ซึ่งต่างจากตาที่แก่ชราลงไปทุกปี
ปีนี้เป็นปีที่ 17 ที่ตาสอนดูแลหนูบัวมา
ความชราของตาก็ย่างเข้า 70 ปีแล้ว
แต่วันนี้กลับต้องเป็นวันที่หนูบัวต้องดูแลตาสอน
ตาสอนป่วยมานานแรมหลายปี โดนที่ไม่มีใครรู้
จนกระทั่งวันนี้มีอาการทรุดหนักขึ้นเรื่อย ๆ
หนูบัวจึงได้ตัดสินใจพาตาสอนไปหาหมอที่โรงพยาบาล
“ตาจ๋า เดี๋ยวหนูบัวจะพาตาไปหาหมอนะจ้ะ”
“ตาไม่เป็นอะไรมาหรอกลูก ตาคงเหนื่อย เข้าป่าหลายวันนะ”
“ไม่ได้นะตา ตาป่วยมาสามวันแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น ตาอย่าดือสิจ้ะ”
การเดินทางไปโรงพยาบาลในวันนี้ ต้องอาศัยรถเครื่องของชาวบ้านที่ช่วยพาตาไปโรงพยาบาล
ถนนผิวขรุขระ กว่าจะเดินทางถึงก็เหนื่อยอยู่เหมือนกัน
“เร็ว เร็ว เอาขึ้นเตียงเลยนะ รีบนำตัวเข้าห้องฉุกเฉินด่วนเลย”เสียงพนักงานที่ทำงานอยู่โรงพยาบาลพากันร้องเรียกกันอย่างวุ่นวาย
“อ้าว มีคนป่วยอยู่นี่ เอารถเข็นมาเร็ว”
หนูบัวมองด้วยความแปลกใจ แต่ก็ยังดีที่พนักงานใส่ใจคนป่วยทุกคนเท่ากัน
ตาสอนถูกนำตัวเข้าห้องตรวจอย่ารวดเร็ว
ณ ห้องตรวจที่อยู่ทางขวามือของห้องฉุกเฉิน
รถเข็นที่มีตาแก่คนหนึ่งนั่งอยู่
พนักงานชายเข็นรถเข้าห้องตรวจที่อยู่ด้านขวาด้วยความรวดเร็ว ทุกคนที่มาโรงพยาบาลบางท่านต้องนั่งรอนานเกือบหลายชั่วโมง
หนูบัวมองดูผู้คนด้วยความสงสัย ทำไมตาถึงได้เข้าห้องตรวจก่อนใคร?
ภายในห้องช่างเย็นยะเยียบนัก
อาจจะเป็นเพราะแอร์ที่เปิดให้ความเย็นอยู่ในขณะนี้
“สวัสดีครับ คนไข้ป่วยมานานรึยังครับ”
“ก็มีอาการอ่อนเพลียแบบนี้มานานแล้ว แต่เป็นบางช่วง
ตอนนี้ก็กลับมาเป็นอีกครั้ง”
“หมอขอดูอาการหน่อยนะครับ”
“ครับ”
“ตามาหาคุณพ่อช้าไปนะครับ
ตอนนี้โรคร้ายนั้นได้มีอาการถึงขั้นรุนแรงแล้ว”
สีหน้าของตาสอนที่เคยสดใส ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความทุกข์ แก็ก
เสียงประตูห้องกำลังเลื่อนออก สายตาทั้งคู่ต่างจับจ้องไปที่ประตูนั้นด้วยความสงสัย
“ตาจ๋า ตาเป็นยังไงบ้าง”
“เดี๋ยวพนักงานจะพาตาไปรับยาด้านนอกนะครับ ผมขอคุยกับญาติก่อนครับ”
พนักงานชาย ตัวสูง รูปร่างผอม เดินเข้ามาในห้อง แล้วพาตาสอนออกไปด้านนอก
“ตาเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ”
“ตอนนี้คุณตาได้ป่วยหนัก ถ้าหากมาหาหมอเร็วกว่านี้คงจะดี
ตาสอนป่วยเป็นโรคมะเร็งครับ เนื่องจากตาสอนไม่ได้รับการรักษา
จึงทำให้อาการทรุดลงไปเรื่อยๆ”
“ห๊า ตาจะป่วยได้ยังไงคะหมอ ตาร่างกายแข็งแรงมาตลอด”
“โรคนี้บางครั้งอาจไม่แสดงอาการให้เห็นนะครับ
ตาสอนคงอยู่ได้อีกเพียงหนึ่งอาทิตย์เท่านั้น หมอเสียใจด้วยนะครับ”
“ฮือ ฮือ”
เธอก้าวออกมาจากห้องตรวจด้วยขาที่สั่น ใบหน้าเต็มไปด้วยหยดน้ำตา
“มันไม่จริงใช่ไหม ตาอย่าจากหนูบัวไปได้ไหม”
“ฉันเสียใจด้วยนะ อย่างน้อย เธอยังมีฉันที่เป็นเพื่อนเธอนะ
ฉันจะอยู่กับเธอ ไม่มีวันทิ้งเธอไปไหน”
“ฮือ ฮือ ฉันต้องทำยังไงดี”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันเป็นเหมือนสิ่งที่เลวร้ายที่สุด
หนูบัวคงอยากให้เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน มากกว่าความจริง
“หนูบัว มาหาตามา”
“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทำไมฟ้าถึงกลั่นแกล้งเราให้เป็นแบบนี้”
“ทุกคนเกิดมาย่อมมีกรรม เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ช้าก็เร็ว
อย่าเศร้าไปเลยลูก ยิ่งลูกเศร้าแบบนี้ ตายิ่งไม่สบายใจ”
“อึก อึก”
“กลับบ้านกันเถอะลูก”
บรรยากาศบนรถเครื่องมีเพียงความเงียบ กับเสียงลมที่กระโชกไปมา
ณ กระท่อมริมคลอง
“ตาไปนอนพักผ่อนเถอะจ้ะ เดี๋ยวหนูบัวจะทำข้าวต้มให้ตากินเอง”
“ตาขอบใจมากนะ”
“เธอเป็นเด็กดี ทุกคนถึงรักเธอ แต่ทำไมฉันถึงสงสารเธอจัง”มาลีมองดูหนูบัว
มือทั้งสองข้างกำลังผ่าฟืน เพื่อก่อไฟ ทำข้าวต้ม มือที่เร่งรีบจนเกินไป
ทำให้โดนน้ำร้อนกระเด็นใส่ แต่มันคงไม่ใช่อุปสรรค
แต่ความรักและความห่วงใยต่างหากที่ทำให้ต้องสู้
“ข้าวต้มมาแล้วจ้ะตา ตาลุกขึ้นมากินข้าวนะ แล้วจะได้กินยา”
“น่ากินจังลูก”
มาลี เพื่อนสาวที่ไร้ตัวตน นั่งมองด้วยความสุข
แต่ความสุขนั้นกลับมีหยดน้ำตาไหลลงตามร่องแก้มทั้งสองข้าง
ร่างตาสอนที่นอนป่วยอยู่บนที่นอนผืนเก่า
นับวันอาการก็ยิ่งทรุดหนักลงทุกวัน นี่ก็ใกล้จะเข้าวันที่ 7 แล้ว ครบหนึ่งอาทิตย์ที่หมอได้บอกไว้ จิตใจของหนูบัวในตอนนี้ ช่างเศร้านัก
เธอนั่งมองดูตาที่นอนอยู่ นับว่าอาการแย่ลงไปทุกที พรุ่งนี้ก็เป็นวันที่เจ็ดพอดี
“ตาจ๋า พรุ่งนี้ ตาอยากกินอะไรจ้ะ เดี๋ยวหนูบัวจะเข้าป่าไปหา”
“ตาอยากกินผักลวกกับแจ่วปลาร้าพอดี”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ หนูบัวจำทำให้ตากินเอง ตาแข็งแรงขึ้นมากเลยนะ”หนูบัวรู้ดีว่าสิ่งที่พูดออกมามันตรงข้ามกับความเป็นจริง
แต่มันคงเป็นคำพูดที่ปลอบใจได้ดีที่สุดแล้วในตอนนี้
เอ้ก อิ เอ้ก เอ้ก
“ตาจ๋า หนูบัวจะเข้าป่านะจ้ะ ตานอนอยู่เฉยๆอย่าลุกไปไหนนะ ตา ตา
ยังไม่ตื่นหรอ”
หนูบัวก้าวเท้ามานั่งลงตรงหน้า ตาไม่ยอมตื่นและพูดอะไรเลย
“ตา ตา”หนูบัวใช้มือจับที่จมูกเพื่อดูว่ายังหายใจอยู่ไหม
“ฮือ ฮือ ทำไมตาถึงทิ้งหนูบัวไป ตาใจร้ายที่สุดเลย
ไหนตาบอกว่าอยากกินผักลวกกับแจ่วปลาร้าไง ตื่นขึ้นมาสิจ้ะตา”หนูบัวเขย่าร่างตาสอนไปมา
“เธอต้องเข้มแข็งนะ ตาไปสบายแล้ว”มาลีพูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยน
ชีวิตช่างเลวร้ายนัก
การสูญเสียคนที่รักไปมันเหมือนกับเราขาดอะไรบางอย่างในชีวิต
ชีวิตช่างไม่ยั่งยืนอย่างที่ใครคิด หากพรุ่งนี้ยังเห็นก็เหมือนยังมีชีวิตอยู่
แต่ถ้าหากวันใดที่ไม่เห็น ก็คงต้องจากไป
“ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้ ฉันจะขอเป็นคนที่ต้องจากไปเอง หากคนที่รักฉันเจ็บ
ฉันจะเป็นคนเจ็บแทนเอง แต่คงเป็นความจริงที่เป็นไปไม่ได้
ในเมื่อโชคชะตากำหนดมาแล้ว”
วรรณ นภา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น