เส้นทางใหม่
เอ้ก อิ เอ้ก เอ้ก นี่สินะ คือนาฬิกาที่บอกว่าเวลานี้เช้าแล้ว
มันคือเสียงที่ปลุกให้ทุกคนตื่นจากการหลับนอน
“เช้าแล้วหรอเนี่ย ทำไมง่วงแบบนี้”
“ตื่นได้แล้วลูก สายแล้วนะ”
“ตาจ๋า หนูบัวขอนอนต่ออีกสักหน่อยได้ไหมจ้ะ”
“วันนี้ไม่ไปไหนหรอ แล้วแต่ลูกเลย
เดี๋ยวตาจะไปตัดไม้ไผ่มาสานตะกร้าขายนะ กับข้าววางอยู่ในตู้ มีย่างปลาช่อนตัวหนึ่ง ”
ปลาช่อนที่ตานำมาเป็นอาหารนั้น
เมื่อเช้าตาเห็นมันอยู่บนหญ้าใกล้ริมคลอง มันคงกระโดดขึ้นมา
แล้วหาวิธีลงไปในน้ำไม่ได้
ครอก ครอก
“นี่เธอจะนอนไปถึงไหน มันเช้าแล้วนะ ตื่น ๆ ๆ ๆ ๆ ได้แล้ว”
“อย่าพึ่งปลุกฉันได้ไหมมาลี ฉันยังง่วงอยู่เลย”
“เธอดูสิ ข้างนอกร้อนจัด มันสายมากแล้ว ปกติเธอตื่นเช้ากว่านี้นิ”
“ก็จริงนะ ทำไมวันนี้ฉันรู้สึกเหนื่อย ๆ”
“เธอไม่สบายหรือเปล่า ตัวก็ไม่ร้อนนิ”
“ฉันสบายดี ฉันแค่รู้สึกเมื่อย ปวดตามตัวเท่านั้น”
โกรก โกรก ใบไม้แห้งที่อยู่บนต้นไม้ ได้ร่วงหล่นลงมาทับถมกันเป็นกองสูง
ต้นไม้ที่โค่นล้มอยู่ตรงทางเข้าป่า มันคงทนแดดทนฝนมานาน
กิ่งไม้เลยเปื่อยกลายเป็นผง ชาวบ้านแถวนี้คงไม่เห็นต้นไม้ต้นนี้
จึงทำให้ไม่มีใครมาเก็บไปก่อไฟ มันจึงต้องโดนแดดโดนฝนอยู่แบบนี้ คงต้องรอให้ไม้มันแห้งก่อน
จึงจะนำไปก่อไฟได้
ตาถือพร้าและล้อลากมุ่งหน้าเข้าป่าทางทิศใต้ เดินไปตามทางรถช่องแคบ
ๆ ข้างหน้ามีกอไผ่กอใหญ่ คงเกิดมานานมากแล้ว ตาใช้พร้าด้ามยาวที่ถือมา
ตัดไม้ไผ่กอใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า แต่กลับมีชายร่างใหญ่ กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
“ตัดไม้ไปทำอะไรหรอลุง”
“จะตัดไปสานตะกร้าขายนะ”
“ตัดไหวไหมลุง มาเดี๋ยวผมจะช่วยตัด”
“ขอบใจนะพ่อหนุ่ม”
ชายหนุ่มรูปร่างใหญ่จับพร้าขึ้นมา แล้วแกว่งไปที่ต้นไผ่ที่ตั้งกอ
ชายหนุ่มใช้เวลาไม่นานก็ตัดไม้ได้ถึงยี่สิบลำ ร่างกายที่แข็งแรง
ทั้งยังอายุน้อยจึงทำให้เขาผู้นี้สามารถทำอะไรได้อย่างรวดเร็ว
“ผมต้องไปแล้วลุง ว่าแต่ขายที่ไหน เอาไว้ให้หน่อยนะสัก 2 อัน ผมไปแล้ว จะเข้าป่าไปล่าสัตว์นะ”
“โชคดีพ่อหนุ่ม ลุงขอบใจมาก ขอให้ได้สัตว์ป่าเยอะๆนะ”
ตาสอน ใช้เชือกที่นำมามัดไม้ไผ่รวมกันเป็นมัด ๆ
แล้วลากขึ้นมาวางบนล้อลากที่นำมา วันนี้ตาสอนได้ไม้ไผ่กลับบ้านเยอะกว่าทุกวัน
คงจะสานตะกร้าขายได้หลายอันเลยทีเดียว
ตาสอนใช้มือทั้งสองข้างดันล้อลากให้เคลื่อนไปข้างหน้า
แต่ล้อหนักมากทั้งยางล้อแบน จึงทำให้ล้อลากเคลื่อนช้ากว่าปกติ
เหงื่อที่ไหลลงตามใบหน้า ตาสอนใช้มือปาดเหงื่อบนใบหน้า
ถึงแม้ความร้อนจากแสงแดดจะแผดเผาลงมา แต่มันกลับไม่ใช่อุปสรรคสำหรับการเดินทางของตาสอนในวันนี้
บรรยากาศในตอนนี้ร้อนอบอ้าวไปด้วยแสงแห่งความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่ส่องประกายลงมา
บนพื้นดินมีกลิ่นอายความร้อนกระจายออกมา แต่พื้นดินในช่วงกลางวันยังคงมีความเย็น
แต่เมื่อเข้าสู้ความมืด พื้นดินกลับมีกลิ่นอายของความร้อนที่สะสมมาตั้งแต่ช่วงกลางวันให้ความรู้สึกร้อนเมื่อต้องเหยียบเท้าบนดิน
แต่ตอนนี้หนูบัวกำลังพลางกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหาตา เพื่อจะมาช่วยตาตัดไม้ไผ่
“นั่นไง ตาอยู่นั่นไงมาลี”
“ตาหนูบัวมาแล้ว เดี๋ยวหนูช่วยจ้ะ”’
“มาได้ยังไงลูก หนูบัวจะมาช่วยตาตัดไม้จ้ะ”
“ทำไมไม่ใส่หมวกมาด้วยละลูก อากาศยิ่งร้อน”
“ไม่ร้อนเลย เดี๋ยวหนูบัวเข็นช่วยตานะจ้ะ”
“วันนี้ไม่ได้ไปไหนรึไง ถึงได้มาช่วยตา”
“ไปจ้ะตา แต่หนูมาช่วยตาก่อนไง”
ขณะที่เข็นล้อลากมาถึงกระท่อม เหมือนมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมาที่แห่งนี้
หนูบัวมองซ้ายขวา ว่ามีใครอยู่ตรงนั้นรึป่าว
“รึว่า ฉันจะคิดไปเองนะ”หนูบัวบ่นพึมพำ
“เธอมองหาใครหนูบัว”มาลีถามด้วยความสงสัย
“เหมือนมีใครกำลังแอบมองฉันเลยมาลี”
“เธอคิดไปเอง รีบไปขนไม้ช่วยตาเร็ว ไหนเธอบอกว่าจะเข้าป่า
ลืมไปแล้วรึไง”
“จริงด้วย ทำไมฉันขี้ลืมแบบนี้นะ”
หนูบัวใช้มือจับลำไม้ไผ่ออกมาวางไว้ทีละลำ
วางซ้อนกันไว้ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้กระท่อม ตอนนี้ตะวันจะเลยหัวอยู่แล้ว
เหลืออีกไม่กี่ชั่วโมงพระอาทิตย์ก็จะตกดิน
“ตาจ๋า หนูบัวจะเข้าป่าไปหาหน่อไม้”
“อ้าว ทำไมไม่บอกตาล่ะ จะได้หามาให้
แต่กอไผ่ที่ตาตัดมันไม่มีหน่อไม้ ถ้ามีตาคงขุดมาให้ว่าแต่จะไปกับใคร
ในป่าอันตรายมากนะ ไม่ต้องไปหรอกตาว่า”
“ให้หนูบัวไปเถอะนะตา ป่านี้หนูบัวอยู่มาตั้งแต่เด็กแล้ว”
“เดี๋ยวก็โดนงูกัดอีก”
“ตาจ๋า หนูอยากกินแกงหน่อไม้ หนูจะระวังตัวจ้ะ ”
“ตามใจ แต่ห้ามกลับค่ำนะ ตาเป็นห่วง”
หนูบัวรีบเผ่นไปที่ครัว หยิบเอาตะกร้าที่วางอยู่
และเสียมด้ามเล็กที่ใช้เป็นประจำ ก้าวเท้าด้วยความรวดเร็วเข้าไปในป่าทางด้านทิศใต้
เวลานี่ก็ใกล้จะเย็นย่ำเข้ามาทุกที ภายในป่าที่เคยมีแสงแดดส่องลงมา
ตอนนี้มีเพียงร่มเงาและเสียงกระโชกของสายลมที่พัดพาความเย็นเข้ามา
“นั่นไง! หน่อไม้ ”
“เดี๋ยวก่อน เหมือนสวนนั่น มีเจ้าของเลยนะ มีรั้วล้อมไว้ด้วยเธอดูสิ
หนูบัว”
“จริงด้วย แต่ฉันว่าคงไม่มีเจ้าของหรอกมาลี รีบไปขุดเอาดีกว่า
เดี๋ยวจะค่ำซะก่อน”
หนูบัวนำเสียมขุดหน่อไม้ แต่ยังไม่ทันจะขุดได้
ได้มีเสียงฝีเท้าย่ำลงที่ใบไม้แห้ง กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ เจ้าหัวขโมย”
“หนูไม่ใช่ขโมยนะจ้ะ หนูแค่มาขุดหน่อไม้เพื่อเอาไปแกงเท่านั้น”
“แหม๋…เจ้าเด็กน้อย นี่มันสวนข้า ข้าปลูกไว้
ข้าจะแจ้งตำรวจจับเอ็ง เจ้าเด็กเหลือขอ”
“ยายจ๋า หนูไม่รู้ว่าไผ่กอนี้มีเจ้าของ อย่าแจ้งตำรวจเลยนะจ้ะ”
“ไป รีบไป อย่าให้ข้าเห็นเอ็งอีกนะ”
เสียงนั้นมีความโกรธเหมือนไปโมโหใครมา
หนูบัวถูกไล่ตะเพิดออกมาจากสวนของยายแก่ผู้หนึ่ง ในตะกร้ายังไม่ได้สิ่งที่เธอคิดไว้
มีเพียงตะกร้าเปล่า
“ทำไม ยายคนนั้นถึงใจร้ายจัง”
“เห็นไหมฉันบอกแล้ว ว่าสวนนั้นมีเจ้าของ”
“มาลีฉันคิดออกแล้ว เราไปเก็บผักตำลึงที่อยู่ริมคลองดีกว่า
วันนั้นฉันเดินผ่าน มันกำลังแตกยอดเลย”
แครก แครก เสียงฝีเท้ากำลังมุ่งหน้าไปที่ริมคลอง
“เห็นไหม….มาลี ผักตำลึงเยอะเลย
ฉันจะเก็บไปเป็นอาหารเย็นนี้”
“รีบเก็บเถอะ จะได้รีบกลับ”
“แต่เดี๋ยวก่อนมาลี ฉันพึ่งนึกขึ้นได้ เธอเป็นผี
ทำไมเธอถึงไม่กลัวแสงแดดในตอนกลางวันละ”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ตั้งแต่ฉันอยู่กับเธอ
ฉันก็ไม่ได้สังเกตตัวเองเหมือนกัน”
“ช่างเถอะมาลี เธอรู้เพียงว่า เธอคือเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับฉันก็พอ
ฉันจะไม่สงสัยอะไรในตัวเจ้าอีก”
มือสีขาวทั้งสองข้างเก็บผักตำลึงด้วยความคล่องแคล่ว เหมือนกับแม่ค้าที่ขายของเป็นอาชีพหลัก
“มาลี มาลี มาลี เหม่อยุนั่นแหละ
ฉันเรียกตั้งนานแล้ว กลับบ้านกันได้แล้ว”
“ฉันขอโทษ”
ตอนนี้คงกำลังผิดหวัง
เมื่อความคิดอยากจะได้หน่อไม้กลับมาแกงเป็นอาหารในเย็นนี้ไม่เป็นไปอย่างที่คิด
แต่ก็ยังโชคดีที่ยังได้ผักตำลึงกลับมาด้วย
“ตาจ๋า หนูบัวกลับมาแล้ว แต่ไม่ได้หน่อไม้มาเลย ได้เพียงผักตำลึง”
“ไม่เป็นไรหรอกลูก เดี๋ยวตาจะลวกผัก และตำแจ่วปลาร้าให้ลูกกินนะ”
“กินข้าวกับอะไรก็อร่อยหมดและจ้ะตา ขอแค่มีตาอยู่กับหนูบัว”
ค่ำคืนแห่งนี้ พระจันทร์ช่างสวยงามนัก
มันทอแสงเปล่งประกายลงมายังโลกมนุษย์ ให้ความสว่างไสว
หนูบัวและตาต้องกินข้าวกับลวกผักตำลึงและแจ่วปลาร้าท่ามกลางแสงพระจันทร์
แต่เพราะความยากจน จึงทำให้ต้องอยู่แบบอด ๆ อยาก ๆ
แต่ความจนก็ไม่ทำให้ทั้งสองต้องทุกข์ใจ กลับมีแต่ความสุขกับชีวิตแบบนี้
ที่ไม่ต้องไปวุ่นวายกับความหรูหรา ชีวิตแบบอดมื้อกินมื้อ
ไม่ได้ทำให้หนูบัวรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเลยสักครั้ง เมื่อมีคนที่รักอยู่ข้างกาย
ทำให้หนูบัวต้องสู้เพื่อคนข้าง ๆ
วรรณ นภา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น